ในเส้นทางการซื้อขายออนไลน์ ไม่มีจุดไหนจะสำคัญเท่ากับหน้าชำระเงินอีกแล้ว ก่อนถึงขั้นตอนนี้ ความผูกพันของลูกค้ายังน้อยนิด พวกเขาแค่เดินดูของไปเรื่อยๆ แต่หน้าชำระเงินคือจุดตัดสินใจสำคัญ ที่แยกผู้ที่ตั้งใจซื้อออกจากผู้ที่แค่แวะมาดู มันคือที่ที่ลูกค้าจะเลือกว่าจะซื้อสินค้าของคุณหรือจะทิ้งตะกร้าไป
หน้าชำระเงินที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณปิดการขายได้เท่านั้น แต่มันสำคัญมากสำหรับการดึงดูดลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำด้วย ในความเป็นจริง 90% ของลูกค้าบอกว่าถ้าประสบการณ์ที่หน้าชำระเงินน่าพอใจ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำจากแบรนด์เดิมอีกครั้ง นี่คือวิธีที่คุณจะปรับ หน้าชำระเงิน ให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชัน ยอดขาย และทำให้ลูกค้าแวะกลับมาหาคุณ
หน้าชำระเงินคืออะไร
หน้าชำระเงิน คือจุดที่ลูกค้าจะเสร็จสิ้นการทำธุรกรรมบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เป็นที่ที่นักช้อปสามารถตรวจทานรายการสินค้าในตะกร้า ยืนยันจำนวน เลือกวิธีการจัดส่ง และระบุช่องทางชำระเงิน หน้าชำระเงินยังเป็นที่ที่ลูกค้ากรอก และร้านค้าจะรวบรวมข้อมูลจำเป็นต่างๆ เช่น ที่อยู่สำหรับใบแจ้งหนี้และที่อยู่จัดส่ง เพื่อให้การซื้อเสร็จสมบูรณ์และเริ่มกระบวนการจัดส่งต่อไป
หน้าชำระเงิน ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการซื้อขายออนไลน์ เป็นบทสรุปของการเดินทางของลูกค้า เป้าหมายหลักของมันคือการมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น ใช้งานง่าย เพื่อลดอุปสรรคและลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า
หน้าชำระเงินควรมีหน้าตาอย่างไร
หน้าชำระเงินควรถูกออกแบบมาให้มอบประสบการณ์ที่ไหลลื่น นำลูกค้าจากตะกร้าสินค้าไปสู่การซื้อได้อย่างง่ายดาย โดยทั่วไปแล้วหน้าชำระเงินที่ดีในยุคนี้ควรมีองค์ประกอบเหล่านี้
- สรุปคำสั่งซื้อที่ชัดเจน: ลูกค้าต้องตรวจสอบรายการสินค้าในตะกร้าได้ง่ายๆ รวมถึงรายละเอียดสินค้า จำนวน และราคา
- ช่องกรอกข้อมูลที่กระชับ: ขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นจริงๆ เพื่อให้การซื้อเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่จัดส่ง ที่อยู่สำหรับเรียกเก็บเงิน (ถ้าไม่เหมือนกัน) และข้อมูลการชำระเงิน
- ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย: นำเสนอช่องทางชำระเงินหลายแบบ เพื่อให้ตรงกับความสะดวกของลูกค้าแต่ละคน
- การรับรองความปลอดภัยและเครื่องหมายความน่าเชื่อถือ: ใส่ตราสัญลักษณ์ความปลอดภัย ใบรับรอง SSL และรีวิว เพื่อสร้างความไว้วางใจและรับรองว่าข้อมูลส่วนตัวและการชำระเงินของพวกเขาจะปลอดภัย
- ตัวเลือกและค่าจัดส่ง: แสดงวิธีการจัดส่ง ค่าใช้จ่าย และเวลาที่คาดว่าจะได้รับสินค้าอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงต้นของการชำระเงิน
- ปุ่มกระตุ้นแอ็คชั่น (CTA) ที่ชัดเจน: ใช้ปุ่มที่มองเห็นง่ายและโดดเด่น สำหรับการดำเนินการสำคัญ เช่น ‘ดำเนินการต่อเพื่อชำระเงิน’ หรือ ‘สั่งซื้อ’ เพื่อนำทางผู้ใช้ไปทีละขั้นตอน
ที่ Shopify เราให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบของหน้าชำระเงินเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ หน้าชำระเงินของเรามีอัตราคอนเวอร์ชันที่สูงกว่าคู่แข่งโดยเฉลี่ยถึง 15%
เปรียบเทียบ หน้าชำระเงินแบบหน้าเดียวกับหลายหน้า
หน้าชำระเงินสามารถสร้างให้เป็นโซลูชันแบบหน้าเดียว (หรือคลิกเดียว) หรือเป็นกระบวนการแบบทีละขั้นตอนที่กระจายอยู่บนหลายหน้า การเลือกระหว่าง 2 รูปแบบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความซับซ้อนของกระบวนการซื้อ กลุ่มเป้าหมาย และเป้าหมายของคุณ นี่คือความแตกต่างระหว่างหน้าชำระเงินแบบหน้าเดียวกับหลายหน้า
- หน้าชำระเงินหน้าเดียว: แบบหน้าเดียวช่วยเร่งกระบวนการให้เร็วขึ้น โดยรวบรวมทุกองค์ประกอบที่จำเป็นไว้ในหน้าเดียวทั้งหมด ซึ่งรวมถึงรายการในตะกร้า รายละเอียดการชำระเงิน รายละเอียดการติดต่อ ที่อยู่สำหรับเรียกเก็บเงินและจัดส่ง และตัวเลือกการจัดส่ง หน้าชำระเงินแบบหน้าเดียวจะรวดเร็ว แต่ก็อาจสร้างความสับสนได้หากไม่ได้ออกแบบมาดีพอ หรือถ้าผู้ใช้คุ้นเคยกับประสบการณ์แบบหลายหน้ามาก่อน
- หน้าชำระเงินหลายหน้า: แบบหลายหน้าจะแบ่งกระบวนการชำระเงินทั้งหมดออกเป็นขั้นตอนและหน้าย่อยต่างๆ เพื่อซื้อให้เสร็จสมบูรณ์ ลูกค้าจะต้องผ่านทุกหน้าเพื่อกรอกข้อมูลและเลือก ซื้อ หน้าชำระเงินแบบหลายหน้าจะใช้เวลานานกว่า แต่ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบได้ว่า ลูกค้าออกจากกระบวนการซื้อที่ขั้นตอนใด
7 ตัวอย่างหน้าชำระเงินที่ดี
1. Gunner Kennels
แบรนด์กรงสุนัข Gunner Kennels ใช้ช่องกรอกข้อมูลที่น้อยที่สุด เก็บเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น
ช่องที่อยู่ใช้แบบฟอร์มที่อยู่ที่เติมอัตโนมัติของ Google ซึ่งหมายความว่าช่องเมือง รัฐ และรหัสไปรษณีย์จะถูกเติมให้อัตโนมัติเมื่อลูกค้าพิมพ์ที่บ้านเลขที่และถนน ส่วนข้อมูลเสริม เช่น หมายเลขโทรศัพท์ มาพร้อมกับกล่องข้อมูลที่อธิบายว่าทำไมลูกค้าควรกรอกเพิ่ม
หน้าชำระเงินที่เรียบง่ายและโปร่งใสของ Gunner Kennels ทำให้ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลที่จำเป็นได้อย่างง่ายดาย
2. Tentree
หน้าชำระเงินของแบรนด์ Tentree ทำได้ดีมาก โดยผสมผสานการช้อปปิ้งที่ชาญฉลาดเข้ากับการรักษ์โลก คุณสามารถดูรายละเอียดคำสั่งซื้อของคุณได้อย่างง่ายดาย แต่ส่วนที่ดีที่สุดคือ คุณสามารถปลูกต้นไม้ได้ทันทีในขณะที่คุณซื้อ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของ Tentree และกระตุ้นให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในความพยายามด้านความยั่งยืนด้วย นอกจากนี้ พวกเขายังเสนอการประกันคำสั่งซื้อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พวกเขาใส่ใจในคำสั่งซื้อของคุณมากพอๆ กับต้นไม้เลยทีเดียว นี่คือการช้อปปิ้งออนไลน์ที่มาพร้อมจิตสำนึก และทำได้อย่างถูกต้องลงตัว
การชำระเงินของ Tentree ไม่เพียงให้คุณทำการซื้อให้เสร็จสิ้น แต่ยังให้โอกาสคุณทำประกันคำสั่งซื้อและชดเชยรอยเท้าคาร์บอนของคุณได้ด้วยซื้อ
3. Bubs Naturals
ป้ายรับรองความปลอดภัย เช่น ป้ายรับรองการชำระเงินและใบรับรอง SSL จะช่วยรับรองลูกค้าว่าข้อมูลส่วนตัวและการชำระเงินของพวกเขาปลอดภัย
Bubs Naturals นำเสนอหนึ่งในตัวอย่างหน้าชำระเงินที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างสัญญาณความไว้วางใจ ร้านขายวิตามินและอาหารเสริมนี้ใช้รีวิวสินค้า วิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย และคำมั่นสัญญาความสุข 100% บนหน้าชำระเงิน
เครื่องหมายความน่าเชื่อถือเหล่านี้ช่วยแก้ไขข้อกังวลหลักของลูกค้า ทำให้พวกเขามั่นใจว่าการชำระเงินนั้นปลอดภัย พวกเขากำลังซื้อสินค้าที่มีคุณภาพ และพวกเขาสามารถได้รับเงินคืนหากไม่พอใจกับสินค้าที่ซื้อไป
Bubs Naturals มีองค์ประกอบความน่าเชื่อถือมากมายบนหน้าชำระเงิน รวมถึงคะแนนดาวและรีวิว
4. Nanoleaf
หน้าชำระเงินของ Nanoleaf แสดงสินค้าในตะกร้าอย่างชัดเจน รวมถึงจำนวนและราคา เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบคำสั่งซื้อได้
นอกจากนี้ยังรองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย อาทิ บัตรเครดิตหลักๆ (Visa, Mastercard, Discover, Amex) กระเป๋าเงินดิจิทัล (Apple Pay, Google Pay) และตัวเลือกยอดนิยมอื่นๆ เช่น PayPal, Klarna และ crypto.com เพียงเลื่อนเมาส์ไปที่ข้อความ ‘We accept’ และผู้ซื้อสามารถเลือกตัวเลือกการชำระเงินที่ต้องการได้เลย
วิธีการชำระเงินที่หลากหลายของ Nanoleaf ทำให้ลูกค้าสามารถทำการซื้อให้เสร็จสิ้นได้อย่างง่ายดาย
Nanoleaf ยังได้ใส่ฟีเจอร์เพิ่มมูลค่าไว้ในหน้าชำระเงินของพวกเขาด้วย ลองสังเกตค่าจัดส่ง 9.99 ดอลลาร์ที่แสดงอย่างชัดเจน รวมถึงการรับประกัน 2 ปีและส่วนลดสำหรับนักเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
5. ColourPop
ตรวจสอบตะกร้าของคุณ รับการจัดส่งฟรี และใช้ข้อเสนอพิเศษด้วยหน้าชำระเงินของ ColourPop
แบรนด์เครื่องสำอาง ColourPop ใช้หน้าชำระเงินของ Shopify เพื่อแสดงค่าใช้จ่ายและค่าจัดส่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดบนหน้าจอเดียว ก่อนที่จะส่งลูกค้าไปยังหน้าการชำระเงิน
หากผู้ใช้มีบัญชี Shop Pay ข้อมูลทั้งหมดจะถูกโหลดไว้แล้วบนหน้าชำระเงิน และพวกเขาสามารถดำเนินการชำระเงินได้ทันทีอย่างง่ายดาย
6. Ketnipz
บนร้านขายสินค้าของที่ระลึกของ Ketnipz ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะชำระเงินในฐานะแขก (Guest) หรือลูกค้าเดิม (Returning Customer) แขกจะเข้าสู่หน้าชำระเงินมาตรฐาน ส่วนที่แฟนๆ เดิมของแบรนด์สามารถลงชื่อเข้าใช้เพื่อชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว
ตัวเลือกหน้าชำระเงินในร้านสินค้า Ketnipz ซึ่งมีปุ่มสำหรับชำระเงินในฐานะแขก
7. Kith
หน้าชำระเงินของ Kith นำคุณผ่านตัวเลือกการจัดส่ง ตัวเลือกการชำระเงิน และแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะจ่ายเท่าไหร่
หน้าชำระเงินของ Kith สร้างความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ กับการออกแบบที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางได้อย่างลงตัว พวกเขาทำให้กระบวนการซื้อราบรื่นขึ้นด้วยตัวเลือกการจัดส่งและการชำระเงินที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็สร้างความไว้วางใจผ่านการกำหนดราคาที่โปร่งใสและมาตรการรักษาความปลอดภัย
ด้วยการเสนอสิ่งจูงใจ เช่น Shop Cash และแผนการผ่อนชำระ Shop Pay ทำให้ Kith สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันและเพิ่มมูลค่าคำสั่งซื้อได้ องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างกระบวนการหน้าชำระเงิน ที่ใช้งานง่ายและตอบโจทย์ความชอบของลูกค้าที่หลากหลาย
ทำความรู้จักกับองค์ประกอบสำคัญของหน้าชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกของ Shopify แพลตฟอร์มหน้าชำระเงิน ที่มีอัตราคอนเวอร์ชันอันดับ 1 ของโลก
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการปรับปรุงหน้าชำระเงิน
ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย Baymard Institute อัตราการทิ้งตะกร้าที่ยังไม่ชำระเงินสำหรับร้านออนไลน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ต่ำกว่า 70% เล็กน้อย อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่ กระบวนการชำระเงินที่ซับซ้อน และการขาดตัวเลือกการชำระเงิน
เพื่อลดการทิ้งตะกร้าที่ยังไม่ชำระเงิน ให้เริ่มต้นด้วยการทำตามหลักปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการปรับหน้าชำระเงิน ของคุณให้เหมาะสม ดังนี้
1. ทำให้กระบวนการง่ายและใช้งานง่าย
กระบวนการในหน้าชำระเงินทั้งหมดของคุณควรจะรวดเร็วและง่ายดาย โดยมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุดและไม่มีขั้นตอนที่ไม่จำเป็น เพื่อป้องกันปัญหานี้ ให้ใส่เฉพาะช่องกรอกข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำรายการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น ส่วนช่องอื่นๆ สามารถเลือกให้เป็นทางเลือกหรือไม่ใส่เลยก็ได้
Shop Pay ช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นอีก โดยการจัดเก็บข้อมูลการชำระเงินและการจัดส่งของลูกค้าอย่างปลอดภัย ทำให้สามารถชำระเงินในคลิกเดียวสำหรับการซื้อในอนาคตได้
2. ทำให้การนำทางง่าย
ข้อความบนหน้าชำระเงินจะนำทางผู้ใช้ไปตลอดกระบวนการ ซึ่งควรสั้น กระชับ และตรงประเด็น ใส่ Breadcrumbs (แถบแสดงเส้นทาง) เพื่อระบุความคืบหน้า เช่น
- ขั้นตอนที่ 1: ข้อมูลการจัดส่ง
- ขั้นตอนที่ 2: การชำระเงิน
หากคุณใช้หน้าชำระเงินแบบหลายหน้า แถบแสดงความคืบหน้าจะมีประโยชน์ในการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า พวกเขาอยู่ตรงไหนในเส้นทางการชำระเงิน และกระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการต่อ
การระบุ CTA ที่ชัดเจน พร้อมปุ่มที่โดดเด่น เช่น ดำเนินการต่อเพื่อชำระเงิน หรือ สั่งซื้อช่วยนำทางผู้ใช้
3. ใส่สัญญาณความไว้วางใจ
ผู้ซื้อจำเป็นต้องไว้ใจเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ จากการสำรวจของ PYMNTS พบว่า 92% ของลูกค้าพึงพอใจอย่างมากกับประสบการณ์หน้าชำระเงิน ที่มีการใช้เครื่องหมายความน่าเชื่อถือ การแสดงหลักฐานทางสังคมและป้ายรับรองความปลอดภัย เป็น 2 วิธีในการส่งสัญญาณความไว้วางใจ
การรับประกันคืนเงินช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในหมู่ลูกค้า คะแนนดาวและรีวิวสินค้าที่หน้าชำระเงิน จะช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจในสินค้าหรือบริการที่พวกเขากำลังจะซื้อ แอปพลิเคชัน Shopify ที่รวบรวมรีวิวต่างๆ เอาไว้ ก็อย่างเช่น Product Reviews, Judge.me และ Loox
4. ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย
ผู้ซื้อต้องการทางเลือกในการชำระค่าสินค้าและบริการออนไลน์ ผู้บริโภคในสหรัฐฯ 42% กล่าวว่าพวกเขาจะยกเลิกการซื้อ หากไม่มีตัวเลือกการชำระเงินที่พวกเขาชื่นชอบ
นำเสนอวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ช่องทางการชำระเงินที่รวดเร็ว (PayPal, Shop Pay, หรือ Apple Pay) กระเป๋าเงินดิจิทัล และตัวเลือกซื้อตอนนี้ จ่ายทีหลัง (BNPL) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
เมื่อเลือกผู้ให้บริการชำระเงิน ให้คำนึงถึงประเทศที่คุณทำธุรกิจและประเทศที่ลูกค้าของคุณอาศัยอยู่
5. อนุญาตให้ลูกค้าตรวจสอบคำสั่งซื้อ
ด้วยการแสดงต้นทุนรวมของคำสั่งซื้อและวันที่จัดส่งโดยประมาณตั้งแต่ต้นในหน้าชำระเงิน ลูกค้าจะสามารถประเมินได้ว่าการซื้อนั้นอยู่ในงบประมาณของพวกเขาหรือไม่ และจะมาถึงทันเวลาหรือไม่
จากการศึกษาของ PwC พบว่า 29% ของนักช้อปเข้าชมเว็บไซต์เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนรวมของการซื้อระหว่างร้านค้าต่างๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ นั่นหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องเห็นต้นทุนรวมของการทำธุรกรรมตั้งแต่ช่วงแรกของกระบวนการซื้อ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
ให้แสดงต้นทุนรวมของคำสั่งซื้อและเวลาจัดส่งโดยประมาณในตะกร้าสินค้า หรือที่หน้าชำระเงิน ซึ่งรวมถึงราคาสินค้า, ภาษี ค่าจัดส่งและตัวเลือก และรหัสโปรโมชัน สร้างความโปร่งใสโดยการแสดงต้นทุนรวมในทุกขั้นตอนของหน้าชำระเงิน ระบุให้ชัดเจนว่ายอดรวมย่อยในตะกร้าไม่รวมค่าจัดส่งหรือไม่ ผู้บริโภคควรรู้ราคาทั้งหมดล่วงหน้าก่อนกรอกข้อมูลการชำระเงิน
6. เปิดให้ชำระเงินในฐานะแขก
การอนุญาตให้ลูกค้าสร้างบัญชีกับร้านค้าของคุณสามารถทำให้กระบวนการหน้าชำระเงิน ในการซื้อครั้งต่อไปราบรื่นขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ใช้ทุกคนที่ต้องการใช้เวลาเพิ่มในการสร้างบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะกลับมาซื้อของที่ร้านของคุณอีก
รายงานจาก PYMNTS ระบุว่า 12% ของนักช้อปออนไลน์มองว่าการสร้างบัญชีเป็นปัญหาใหญ่ในการช้อปปิ้งออนไลน์
การให้ทางเลือกแก่ผู้ใช้ในการชำระเงินในฐานะแขกมีข้อดี 2 อย่าง นั่นคือลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำสามารถชำระเงินได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ข้อมูลบัญชีของตนเอง ส่วนนักช้อปที่ซื้อเป็นครั้งคราวหรือไม่ตั้งใจซื้อซ้ำ ก็สามารถทำรายการให้เสร็จสมบูรณ์ในฐานะแขกได้
7. ทดสอบและปรับปรุง
การสร้างรูปแบบร่างของหน้าชำระเงินหลายแบบช่วยให้คุณสามารถทดลองกับเลย์เอาต์ คุณสมบัติ และการผสานรวมแอปพลิเคชันต่างๆ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อร้านค้าจริงของคุณ ใช้ฟังก์ชันดูตัวอย่างในโปรแกรมปรับแต่งหน้าชำระเงินและบัญชี เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรบนอุปกรณ์ต่างๆ ของลูกค้า
ใช้การทดสอบ A/B เพื่อเปรียบเทียบเวอร์ชันต่างๆ และรวบรวมข้อมูลว่าเวอร์ชันใดทำงานได้ดีกว่า วิเคราะห์ข้อมูลหน้าชำระเงิน ข้อเสนอแนะจากลูกค้า และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุส่วนที่ต้องปรับปรุง และอย่ากลัวที่จะทำการเปลี่ยนแปลงแบบวนซ้ำเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
8. เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่มีผู้เข้าชมสูง
ช่วงที่มีผู้เข้าชมสูง เช่น การลดราคาตามฤดูกาล หรืออีเวนต์ต่างๆ อาจสร้างภาระอย่างมากให้กับกระบวนการหน้าชำระเงินของคุณ ดังนั้นก่อนที่อีเวนต์เหล่านี้จะมาถึง ให้คุณสร้างและทดสอบการกำหนดค่าหน้าชำระเงินพิเศษ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับปริมาณผู้เข้าชมและยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการทำให้กระบวนการชำระเงินง่ายขึ้น การตรวจสอบให้แน่ใจว่า เซิร์ฟเวอร์ของคุณสามารถรองรับโหลดได้ รวมถึงทดสอบว่าช่องทางการชำระเงินของคุณสามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากได้
ใช้โปรแกรมปรับแต่งหน้าชำระเงินและบัญชี เพื่อตั้งค่าการกำหนดค่าเหล่านี้ และทำการทดสอบอย่างละเอียดภายใต้สภาวะที่มีปริมาณผู้เข้าชมสูงจำลองขึ้นมา เพื่อระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าจริง
9. ใช้คุณสมบัติขั้นสูง
สำหรับธุรกิจที่ใช้แผน Shopify Plus จะมีตัวเลือกการปรับแต่งขั้นสูง เช่น Checkout Extensibility และ Checkout Branding API ซึ่งมอบการควบคุมขั้นตอน หน้าชำระเงิน ได้มากขึ้น
- Checkout Extensibility: ช่วยให้คุณสามารถสร้างองค์ประกอบ UI แบบกำหนดเอง และสร้างขั้นตอนหน้าชำระเงินที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งปรับให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจเฉพาะของคุณได้
- Checkout Branding API: ช่วยให้สามารถปรับแต่งสไตล์ของ หน้าชำระเงิน ได้ด้วยโปรแกรม ทำให้คุณสามารถปรับรูปลักษณ์และธีมตามปัจจัยต่างๆ ได้แบบไดนามิก
คุณสมบัติขั้นสูงเหล่านี้สามารถใช้เพื่อสร้างประสบการณ์หน้าชำระเงิน ที่เป็นส่วนตัวสูง นำตรรกะทางธุรกิจที่ซับซ้อนมาใช้ หรือผสานรวมเข้ากับระบบอื่นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
3 ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงในการออกแบบหน้าชำระเงิน
1. ขอข้อมูลที่ไม่จำเป็น
การบังคับให้ลูกค้าให้ข้อมูลมากเกินกว่าที่จำเป็น อาจนำไปสู่ความติดขัดและความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมควรเป็นทางเลือก เช่น คำถามสำรวจ หรือข้อมูลประชากร
2. ซ่อนข้อมูลการจัดส่งและภาษีจนถึงขั้นตอนสุดท้าย
การซ่อนต้นทุนจนกว่าจะถึงขั้นตอนสุดท้ายอาจนำไปสู่ความไม่พอใจของลูกค้าและการสูญเสียยอดขาย ตามรายงานของ Coresight Research ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมคือเหตุผลอันดับแรกที่ลูกค้าละทิ้งตะกร้าสินค้าออนไลน์
ป้องกันค่าธรรมเนียมและค่าจัดส่งที่เพิ่มขึ้นในนาทีสุดท้าย โดยการเปิดเผยค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก และกำจัดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดระหว่างการชำระเงิน
3. ละเลยการปรับปรุงสำหรับอุปกรณ์มือถือ
หากร้านค้าออนไลน์และหน้าชำระเงินของคุณไม่สามารถปรับตามขนาดหน้าจอมือถือได้ และไม่ได้ออกแบบมาให้เหมาะกับมือถือ คุณกำลังพลาดโอกาสจากส่วนสำคัญของตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ไป การที่ผู้บริโภคหันมาใช้มือถือช้อปปิ้งมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนาประสบการณ์ที่ใช้งานง่ายและน่าดึงดูด สำหรับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนมือถือ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหน้าชำระเงิน
อัตราการทิ้งตะกร้าที่ไม่ได้ชำระเงินคืออะไร และหน้าชำระเงินสามารถช่วยลดได้อย่างไร
อัตราการทิ้งตะกร้าที่ไม่ได้ชำระเงิน คือเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่ทำรายการไม่สำเร็จบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เมื่อเทียบกับจำนวนธุรกรรมที่เริ่มต้นทั้งหมด หน้าชำระเงินที่ดีจะช่วยลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าได้โดย
- การมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
- การทำให้กระบวนการง่าย
- การสร้างความไว้วางใจกับผู้ใช้
- การเสนอตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย
- การให้ทางเลือกในการชำระเงินในฐานะแขก
- การทำให้กระบวนการทั้งหมดใช้งานได้ดีบนมือถือ
เราควรเสนอตัวเลือกชำระเงินในฐานะแขก หรือกำหนดให้ลูกค้าต้องสร้างบัญชี
ทางที่ดีที่สุดคือ ควรเสนอทางเลือกทั้งการชำระเงินในฐานะแขกและการสร้างบัญชี วิธีนี้ช่วยให้ผู้ที่ซื้อสินค้าเพียงครั้งเดียวได้รับประสบการณ์หน้าชำระเงินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ขณะที่ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำก็สามารถข้ามขั้นตอนการกรอกข้อมูลเพื่อเร่งการซื้อของพวกเขาได้
จะทำให้หน้าชำระเงินใช้งานได้ดีบนมือถือได้อย่างไร
คุณสามารถทำให้หน้าชำระเงินใช้งานได้ดีบนมือถือโดย
- ลดจำนวนหน้า, ขั้นตอน, และช่องกรอกข้อมูล
- แสดงราคารวมทั้งหมดอย่างเด่นชัดตลอดกระบวนการ
- กำจัดป๊อปอัป
- ใช้รูปภาพและข้อความที่มีขนาดใหญ่
- ใช้ปุ่มแทนลิงก์
- ความขนาดใหญ่
- ใช้ปุ่มแทนลิงก์
ประเภทของหน้าชำระเงินมีอะไรบ้าง
หน้าชำระเงินมี 2 ประเภทคือ หน้าชำระเงินแบบหน้าเดียว และหน้าชำระเงินแบบหลายหน้า หน้าชำระเงินแบบหน้าเดียวจะรวมขั้นตอนทั้งหมดในการทำธุรกรรมไว้ในหน้าเดียว ส่วนแบบหลายหน้าจะกระจายขั้นตอนออกไปตามหลายๆ หน้า


