โมเดลธุรกิจดรอปชิปกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพราะเริ่มต้นง่าย ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และสามารถบริหารร้านได้จากทุกที่ในโลก
ตลาด Dropshipping ทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยถึง 22.8% ต่อปีตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงปี 2030 แต่เพราะเข้าถึงได้ง่าย จึงกลายเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือด หากอยากให้ธุรกิจของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด ควรเริ่มจากการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และนำ เทคนิคทํา Dropshipping ทั้ง 15 ข้อเหล่านี้ไปปรับใช้กับร้านของคุณ
15 เทคนิคทํา Dropshipping ให้สำเร็จในปี 2026
- ศึกษาตลาดให้เข้าใจอย่างละเอียด
- เลือกกลุ่มสินค้าที่ทำกำไรได้จริง
- ใช้รูปสินค้าคุณภาพสูง
- รับผิดชอบเมื่อซัพพลายเออร์ทำผิดพลาด
- จัดการสต็อกสินค้าอย่างมีระบบ
- จัดการออเดอร์อย่างชาญฉลาด
- ทำตามแนวทางความปลอดภัยของข้อมูล
- สั่งสินค้าตัวอย่างมาลองก่อนขายจริง
- จัดการเคสคืนเงินให้รวดเร็ว
- เขียนนโยบายการคืนสินค้าให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
- ตั้งกฎการจัดส่งให้เรียบง่ายและชัดเจน
- ให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ
- ลองเพิ่มช่องทางบริการสายด่วน
- โฟกัสการตลาดอย่างต่อเนื่อง
- ใช้อีเมลทำ Dropshipping
1. ศึกษาตลาดให้เข้าใจอย่างละเอียด
การจะประสบความสำเร็จในอีคอมเมิร์ซ คุณต้องเข้าใจตลาดเป้าหมายให้ดี หากไม่มีการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน อาจเลือกสินค้าที่ไม่มีคนต้องการ หรือเจอคู่แข่งมากเกินไป
การเลือกสินค้าตามอารมณ์หรือไล่ตามทุกเทรนด์ใหม่ ๆ อาจทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณได้ ในปีแรกของการทำธุรกิจ Kamil Sattar หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Ecom King เคยพยายามขายสินค้าหลายแบบเกินไปและลงโฆษณามากเกิน จนขาดทุนไปหลายพันดอลลาร์ ตามที่เขาเล่าไว้ในรายการ Shopify Masters ตอนล่าสุด เขาเกือบจะเลิกทำ แต่สามารถพลิกกลับมาได้ด้วยการโฟกัสที่การวิจัยข้อมูลอย่างมีระบบ
และนี่คือวิธีศึกษาตลาดให้ได้ผล
ค้นหาสินค้าที่ได้รับความนิยม
ตรวจสอบว่าสินค้าที่คุณอยากขายมีความต้องการจริงหรือไม่ โดยใช้ Google Trends เพื่อดูแนวโน้มในหมวดหมู่กว้าง ๆ หรือดูจากโซเชียลมีเดียว่าสินค้าแบบไหนกำลังเป็นที่พูดถึง ตัวอย่างเช่น อาจเห็นคลิปไวรัลของคนใช้เครื่องปั่นพกพาบน TikTok พร้อมแฮชแท็ก #portableblender ที่มียอดเข้าชมหลักล้าน หากความสนใจในสินค้านั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี
อย่าลืมดูสินค้าตามฤดูกาล บางอย่างขายได้ตลอดปี ขณะที่บางชนิด (เช่น ของตกแต่งฮาโลวีน) จะขายดีเฉพาะช่วงเวลา หากเปิดตัวในช่วงที่มีดีมานด์สูง จะช่วยเพิ่มยอดขายช่วงแรกได้มาก
วิเคราะห์ผู้ขายรายอื่น
ศึกษาคู่แข่ง ดูว่าพวกเขานำเสนอสินค้าอย่างไร ปรับเปลี่ยนอะไร และมีการทำโปรโมชั่นแบบไหน ตรวจสอบเว็บไซต์ของคู่แข่ง รีวิวจากลูกค้า และกลยุทธ์โฆษณาของพวกเขา
ระหว่างการวิเคราะห์ อาจพบว่ามีร้านที่ขายสินค้าคล้ายกันอยู่มากมาย ซึ่งในกรณีนั้น คุณต้องหาจุดเด่นพิเศษเพื่อให้โดดเด่นกว่า แต่ถ้าพบว่าตลาดยังมีความต้องการสูงแต่คู่แข่งน้อย แปลว่าคุณเจอโอกาสทองแล้ว
เข้าใจลูกค้าของคุณให้ชัด
เมื่อรู้จักกลุ่มเป้าหมายดีพอ คุณจะสามารถเลือกสินค้าและวางแผนการตลาดได้แม่นยำขึ้น ลองสร้างภาพลูกค้าในอุดมคติของคุณ คิดถึงอายุ ไลฟ์สไตล์ รายได้ และพฤติกรรมการช้อปปิ้งของพวกเขา
ถามตัวเองว่า
- ปัญหาอะไรที่สินค้าของคุณสามารถช่วยแก้ได้
- พวกเขาใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มไหนบ้าง
- กลุ่มลูกค้าจะยอมจ่ายในระดับราคาเท่าไหร่
การศึกษาตลาดอย่างรอบคอบคือพื้นฐานของการสร้างร้าน Dropshipping ที่แข็งแรง แต่จำไว้ว่าการวิจัยไม่ได้จบแค่ก่อนเริ่มขาย ตลาดและพฤติกรรมลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควรติดตามสินค้าใหม่จากซัพพลายเออร์และเทรนด์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจของคุณนำหน้าอยู่ตลอดเวลา
2. เลือกกลุ่มสินค้าที่ทำกำไรได้จริง
เทคนิคทํา Dropshipping ขั้นตอนต่อมาคือแทนที่จะพยายามขายทุกอย่างให้ทุกคน ให้โฟกัสที่ตลาดเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการสม่ำเสมอ
และนี่คือวิธีหานิชมาร์เก็ตที่เหมาะกับคุณ
พิจารณาจากความสนใจของตัวเอง
ลองลิสต์สินค้าที่คุณชอบหรือสนใจ หากคุณชอบเดินป่า ลองดูใน Google Trends ว่าการค้นหา “อุปกรณ์เดินป่าน้ำหนักเบา” เพิ่มขึ้นหรือไม่ หรือเข้าไปดูฟอรั่มใน Reddit ว่าคนพูดถึงสินค้าประเภทใด Kamil เชื่อว่าการทำร้านแบบเฉพาะกลุ่ม เป็นแนวทางระยะยาวที่ดีกว่า โดยเฉพาะถ้ามันสอดคล้องกับความชอบของคุณเอง
แต่อย่าพึ่งตัดสินใจจากไอเดียแรก ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ด้วย
- กลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น พ่อแม่มือใหม่ หรือคนทำขนมที่บ้าน
- ระดับราคา จะขายสินค้าราคาย่อมหรือระดับพรีเมียม
- ประเภทสินค้า ลองดูสินค้าที่อยู่จุดตัดของหลายหมวดหมู่ เช่น ของใช้ในครัวรักษ์โลก หรืออุปกรณ์เสริมโทรศัพท์มือถือ
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากขายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง อาจเลือกเฉพาะกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงกว่า เช่น ของเล่นสุนัขรักษ์โลก เฟอร์นิเจอร์แมวสำหรับคนอยู่คอนโด หรืออุปกรณ์เดินทางสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ดูดีและใช้งานได้จริง
💡 ทิปส์: ก่อนเปิดร้านจริง ลองลงโฆษณา Facebook มูลค่า 1,800 บาท (ประมาณ $50) เพื่อดูว่าสินค้าประเภทไหนได้รับความสนใจมากที่สุด ผลลัพธ์นี้จะช่วยบอกได้ว่าคุณกำลังมาถูกทางกับนิชมาร์เก็ตที่ทำกำไรได้หรือไม่
3. ใช้รูปสินค้าคุณภาพสูง
ภาพถ่ายสินค้าที่ดีคือหัวใจของการขายออนไลน์ เพราะลูกค้าไม่สามารถจับหรือทดลองใช้สินค้าก่อนได้ รูปภาพจึงต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสินค้าที่พวกเขาจะได้รับหน้าตาเป็นอย่างไร
ซัพพลายเออร์บางรายอาจมีรูปภาพให้ใช้ แต่ควรระวังไว้ เพราะภาพเหล่านั้นอาจไม่คมชัดหรือไม่น่าดึงดูดเท่าภาพที่คุณถ่ายเองด้วยสมาร์ตโฟนก็ได้
ถ่ายภาพสินค้าให้ครบหลายมุม เพื่อให้ลูกค้าเห็นรายละเอียดทั้งหมด เช่น หากคุณขายกระเป๋าเป้ ควรถ่ายภาพด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ช่องภายใน รวมถึงซูมให้เห็นซิปและสายสะพายชัด ๆ และควรใช้แสงและพื้นหลังที่เหมือนกันทุกภาพ เพื่อให้ดูเป็นมืออาชีพและสวยงามสม่ำเสมอ
อย่าลืมเพิ่มวิดีโอสั้น ๆ หากเป็นไปได้ เช่น หากขายโคมไฟตั้งโต๊ะที่สามารถปรับองศาได้ ลองถ่ายวิดีโอสั้น ๆ แสดงวิธีการหมุนหรือปรับองศา จะช่วยให้ลูกค้าจินตนาการถึงการใช้งานได้จริงมากขึ้น
4. รับผิดชอบเมื่อซัพพลายเออร์ทำผิดพลาด
แม้แต่ซัพพลายเออร์ที่ดีที่สุดก็อาจทำผิดพลาดได้บ้าง และในโมเดลธุรกิจแบบ Dropshipping ความผิดพลาดในการจัดส่งสินค้ามักเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แล้วควรทำอย่างไรเมื่อซัพพลายเออร์ส่งของผิดหรือไม่ส่งของเลย?
ต่อไปนี้คือ 3 แนวทางที่ควรทำ
รับผิดชอบแทนซัพพลายเออร์
อย่าให้ลูกค้าติดต่อซัพพลายเออร์โดยตรง เพราะจะทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากลูกค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีซัพพลายเออร์อยู่เบื้องหลัง คุณควรรับผิดชอบเอง ขอโทษลูกค้า และแจ้งว่าคุณกำลังดำเนินการแก้ไขอย่างไร
ชดเชยให้ลูกค้าอย่างเหมาะสม
ขึ้นอยู่กับระดับของความผิดพลาด คุณอาจเสนอส่วนลด คืนค่าจัดส่ง หรืออัปเกรดสินค้าให้ลูกค้าเพื่อเป็นการขอโทษ วิธีนี้ช่วยสร้างความไว้วางใจและรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว
ให้ซัพฯ รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
แม้คุณต้องรับหน้ากับลูกค้า แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องจ่ายเองเสมอไป ซัพพลายเออร์ที่มีความน่าเชื่อถือจะยอมรับผิดและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าคืนหรือเปลี่ยนสินค้าใหม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาจไม่รับผิดชอบในส่วนของของแถมหรืออัปเกรดที่คุณเสนอให้ลูกค้า ซึ่งถือเป็นต้นทุนด้านภาพลักษณ์และการตลาดของคุณเอง
ถึงแม้ซัพพลายเออร์ Dropshipping ที่ดีที่สุดก็ยังอาจพลาดได้บ้าง แต่ถ้าพบว่ามีการทำผิดซ้ำบ่อย ๆ โดยไม่ปรับปรุง ควรเริ่มมองหาซัพพลายเออร์รายใหม่ เพราะความน่าเชื่อถือของธุรกิจคุณจะได้รับผลกระทบโดยตรง
💡 ทิปส์: ลองถามซัพพลายเออร์ว่าสินค้าของคุณถูกเก็บไว้ในคลังสินค้าของพวกเขาหรือไม่ Kamil แนะนำว่าหากมี จะช่วยลดระยะเวลาจัดส่งได้ถึง 10 วัน ทำให้ส่งของได้เร็วขึ้นและลดความผิดพลาดในการจัดส่ง
5. จัดการสต็อกสินค้าอย่างมีระบบ
นักทำดรอปชิปที่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การจัดการสต็อกสินค้าข้ามซัพพลายเออร์หลายรายคือหนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดของธุรกิจนี้ หากทำได้ไม่ดี คุณจะต้องคอยแจ้งลูกค้าอยู่เรื่อย ๆ ว่าสินค้าหมด ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ดีในการสร้างความประทับใจหรือลูกค้าประจำให้แบรนด์ของคุณ
การบริหารสต็อกสินค้าระหว่างซัพพลายเออร์และตัวแทนจำหน่ายให้แม่นยำ และลดจำนวนสินค้าหมดสต็อกให้มากที่สุด เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน แต่โชคดีที่ปัจจุบันมีแอป Dropshipping อย่าง Syncee, DropCommerce, และ AI Dropship ที่ช่วยซิงค์ข้อมูลสต็อกสินค้ากับร้านบน Shopify ได้โดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะถ้าซัพพลายเออร์ของคุณมีระบบอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่ทุกเจ้าที่มีระบบนี้
ต่อไปนี้คือเทคนิคทํา Dropshipping สำหรับจัดการสต็อกสินค้า ที่จะช่วยลดโอกาสการขายสินค้าหมดคลังได้อย่างมาก
ใช้ซัพพลายเออร์หลายราย
การมีซัพพลายเออร์หลายเจ้าที่มีสินค้าคล้ายกันคือหนึ่งในกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่ง ถ้าซัพพลายเออร์ A ไม่มีสินค้าในสต็อก ก็ยังมีโอกาสสูงที่ซัพพลายเออร์ B จะมีสินค้าแทนได้ ลองใช้ Shopify Collective เพื่อเชื่อมต่อกับแบรนด์ที่ผ่านการคัดกรองแล้ว ซึ่งมีสินค้าคุณภาพและระบบจัดส่งที่เชื่อถือได้ หรือใช้แอป Dropshipping ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายซัพพลายเออร์หลายราย
นอกจากนี้ การพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงรายเดียวถือเป็นความเสี่ยงสูง เพราะหากพวกเขาหยุดร่วมงาน ปรับราคาขึ้น หรือปิดกิจการ ร้านของคุณก็จะได้รับผลกระทบทันที
แม้จะหาไม่ได้สองเจ้าที่ขายสินค้าทุกชิ้นเหมือนกัน แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มสินค้าเดียวกันหรืออุตสาหกรรมเดียวกัน พวกเขามักจะมีสินค้าขายดีเหมือนกัน ซึ่งสินค้ากลุ่มเฉพาะกลุ่มนี้แหละที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด
เลือกสินค้าที่เหมาะสม
เมื่อคุณตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าสินค้าขายได้จริง พยายามเลือกขายสินค้าที่มีอยู่ในสต็อกของซัพพลายเออร์ทุกรายที่คุณทำงานด้วย เพื่อให้มีทางเลือกสำรองเสมอในกรณีที่เจ้าหนึ่งสินค้าหมด คุณก็ยังสามารถส่งของได้ทันโดยไม่กระทบกับลูกค้า
ใช้สินค้าทั่วไปให้เป็นประโยชน์
แม้ว่าซัพพลายเออร์สองรายอาจไม่มีสินค้าที่เหมือนกันทุกอย่าง แต่บางครั้งพวกเขาอาจมีสินค้าที่ใกล้เคียงหรือทดแทนกันได้ โดยเฉพาะสินค้าขนาดเล็กหรืออุปกรณ์เสริม หากคุณตรวจสอบแล้วว่าสินค้าทั้งสองแทบไม่ต่างกัน สามารถเขียนคำอธิบายสินค้าแบบทั่วไป เพื่อให้สามารถจัดส่งจากซัพพลายเออร์ใดก็ได้โดยไม่ต้องแก้ไขข้อมูลในภายหลัง
หนึ่งในข้อควรจำของการใช้เทคนิคทํา Dropshipping ข้อนี้คือ อย่าลืมใส่หมายเลขรุ่นของทั้งสองซัพพลายเออร์ในช่องรุ่นสินค้าด้วย เพื่อให้สามารถส่งใบสั่งซื้อให้ซัพพลายเออร์ใดก็ได้ทันทีโดยไม่ต้องปรับเอกสาร
ตรวจสอบความพร้อมของสินค้าเสมอ
แค่ซัพพลายเออร์ลงรายการสินค้าไว้บนเว็บไซต์ ไม่ได้หมายความว่าสินค้านั้นจะมีในสต็อกตลอดเวลา ควรพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายขายของซัพพลายเออร์เพื่อสอบถามสถานะความพร้อมของสินค้าที่คุณวางแผนจะขาย
ถามให้ชัดว่าสินค้าชนิดนั้นมีอยู่ในสต็อกมากกว่า 90% ของเวลา หรือเป็นสินค้าที่มักขาดบ่อยและต้องรอสั่งผลิตจากโรงงานใหม่ หากเป็นแบบหลัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะสร้างปัญหาต่อการจัดส่งและประสบการณ์ลูกค้า
การจัดการเมื่อสินค้าหมดสต็อก
แม้ว่าคุณจะวางแผนดีแค่ไหน ก็อาจเจอสถานการณ์ที่ไม่สามารถจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อได้แทบทุกคน แทนที่จะบอกลูกค้าว่าสินค้าหมด ลองเสนอการอัปเกรดสินค้าให้ฟรีเป็นรุ่นที่ใกล้เคียงแต่ดีกว่า ลูกค้ามักจะรู้สึกประทับใจ และคุณก็ยังสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ได้
ออเดอร์แบบนี้อาจไม่ได้กำไร ซึ่งไม่เป็นไร เพราะถ้าลูกค้ายกเลิกคำสั่งซื้อไป คุณก็ไม่ได้รายได้อยู่ดี การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าสำคัญกว่าในระยะยาว
6. จัดการออเดอร์อย่างชาญฉลาด
การใช้ซัพพลายเออร์หลายรายมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งช่วยเพิ่มโอกาสที่สินค้าจะมีในสต็อก กระจายพื้นที่การจัดส่งเพื่อให้ส่งถึงลูกค้าได้เร็วขึ้น และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียว แต่เมื่อมีหลายตัวเลือกในการจัดส่งสินค้า คำถามคือ ควรเลือกซัพพลายเออร์รายไหน?
นี่คือวิธีการจัดการออเดอร์ที่เราอยากแนะนำ
ส่งออเดอร์ให้ซัพพลายเออร์หลัก
หากคุณมีซัพพลายเออร์รายหนึ่งที่มีสินค้าครบและทำงานได้ดี (บริการดี สินค้าหลากหลาย ระบบจัดส่งแม่นยำ) ตามเทคนิคทํา Dropshipping คือคุณสามารถตั้งค่าให้ซัพพลายเออร์รายนี้รับออเดอร์ทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ วิธีนี้ง่ายมาก เพียงเพิ่มอีเมลของซัพพลายเออร์เป็นผู้รับสำเนาในอีเมลยืนยันออเดอร์ใหม่ ทุกอย่างจะถูกส่งต่อโดยอัตโนมัติ
จัดออเดอร์ตามพื้นที่ของลูกค้า
หากคุณใช้ซัพพลายเออร์หลายรายที่มีสินค้าคล้ายกัน ให้ส่งออเดอร์ไปยังซัพพลายเออร์ที่อยู่ใกล้ลูกค้ามากที่สุด วิธีนี้จะช่วยให้จัดส่งได้เร็วขึ้นและลดค่าขนส่งได้พร้อมกัน
จัดออเดอร์ตามความพร้อมของสินค้า
หากคุณขายสินค้าหลากหลายประเภทจากหลายซัพพลายเออร์ คุณอาจต้องเลือกส่งออเดอร์ไปยังซัพพลายเออร์ที่มีสินค้านั้นอยู่ในสต็อก วิธีนี้อาจใช้เวลามากหากทำด้วยตนเอง แต่สามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ด้วยบริการอย่าง eCommHub หากซัพพลายเออร์ของคุณมีการอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์
จัดออเดอร์ตามราคา
แนวคิดนี้ฟังดูดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ การเลือกซัพพลายเออร์ที่ถูกที่สุดอัตโนมัติอาจซับซ้อน เพราะต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมการดรอปชิป ค่าขนส่งแบบเรียลไทม์ และราคาสินค้าที่อัปเดตตลอดเวลา ถึงแม้จะทำได้ แต่ก็ต้องใช้ระบบที่แม่นยำและซับซ้อนพอสมควร
แม้คุณจะไม่ได้จัดออเดอร์ตามราคาเสมอไป แต่อย่าลืมให้ซัพพลายเออร์แต่ละรายเสนอราคาที่ดีที่สุดเมื่อธุรกิจคุณเติบโตขึ้น แต่ไม่ควรทำเร็วเกินไป เพราะถ้าเพิ่งเริ่มต้นแล้วขอต่อราคาทันที อาจทำให้ซัพพลายเออร์ไม่อยากร่วมงานกับคุณในระยะยาว
7. ทำตามแนวทางความปลอดภัยของข้อมูล
ในยุคนี้ ไม่มีข้ออ้างใด ๆ สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์โดยไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดีหรือมาตรการป้องกันการฉ้อโกงที่เหมาะสม ต่อไปนี้คือเทคนิคทํา Dropshipping ที่ช่วยให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าปลอดภัยระหว่างการช้อปปิ้งออนไลน์
การเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้า
การเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าไว้บนเว็บไซต์อาจทำให้การสั่งซ้ำสะดวกขึ้นและเพิ่มยอดขายได้ แต่หากคุณโฮสต์เว็บไซต์เอง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความรับผิดทางกฎหมายมักจะไม่คุ้มค่า
การเก็บข้อมูลบัตรเครดิตต้องปฏิบัติตามกฎของ Payment Card Industry Security Standards Council (PCI SSC) ซึ่งซับซ้อนและต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยเป็นประจำ และหากเซิร์ฟเวอร์ถูกแฮกหรือข้อมูลรั่วไหล คุณอาจต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลบัตรที่ถูกขโมยทั้งหมด
ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ไม่เก็บข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าเลย ให้ใช้บริการชำระเงินจากบุคคลที่สาม เช่น Shop Pay หรือ PayPal ซึ่งช่วยให้ลูกค้าชำระเงินได้รวดเร็วขึ้น ลดปัญหาการทิ้งตะกร้ากลางคัน และช่วยให้คุณโฟกัสกับการตลาดและการบริการลูกค้าแทนการจัดการเรื่องความปลอดภัย
หากคุณทำ Dropshipping บน Shopify ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย เพราะระบบของ Shopify ได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกอยู่แล้ว แต่ถ้าใช้แพลตฟอร์มอื่นหรือระบบ Self-hosted ให้ปิดการตั้งค่าที่อนุญาตให้บันทึกข้อมูลบัตรเครดิตทันที
การจัดการออเดอร์ที่อาจเป็นการฉ้อโกง
แม้การสั่งซื้อปลอมจะดูน่ากลัว โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ แต่ทฤษฎีของเทคนิคทํา Dropshipping ที่ใช้การสังเกตและระมัดระวัง จะส่งผลให้คุณสามารถป้องกันความเสียหายได้เกือบทั้งหมด
หนึ่งในมาตรการป้องกันที่ใช้กันทั่วไปคือระบบ AVS ที่จะตรวจสอบว่าที่อยู่ที่ลูกค้ากรอกตรงกับที่อยู่ที่ผูกกับบัตรเครดิตหรือไม่ เพื่อช่วยกันการใช้บัตรที่ถูกขโมยมาโดยไม่รู้ข้อมูลที่อยู่จริง
คำสั่งซื้อที่เป็นการฉ้อโกงมักเกิดขึ้นเมื่อ “ที่อยู่เรียกเก็บเงิน” และ “ที่อยู่จัดส่ง” ไม่ตรงกัน โดยผู้ไม่หวังดีจะกรอกที่อยู่เจ้าของบัตรในช่องบิล แล้วใส่ที่อยู่ของตนเองในช่องกรอกที่อยู่จัดส่ง ซึ่งถ้าคุณไม่อนุญาตให้จัดส่งไปยังที่อยู่ที่ต่างกันเลย ก็อาจทำให้เสียยอดขายจริง ๆ ไปได้เช่นกัน
ข่าวดีคือมิจฉาชีพมักมีรูปแบบพฤติกรรมคล้ายกัน ซึ่งช่วยให้คุณจับได้ก่อนจัดส่ง หากพบสัญญาณ 2–3 อย่างต่อไปนี้ ควรตรวจสอบเพิ่มเติมทันที
-
ที่อยู่เรียกเก็บเงินและจัดส่งต่างกัน มากกว่า 95% ของออเดอร์ปลอมมีลักษณะนี้
-
ชื่อไม่ตรงกัน ระหว่างในบิลและที่อยู่จัดส่ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของออเดอร์ปลอมหรือของขวัญ ตรวจสอบสักนิดเพื่อแยกความต่าง
-
อีเมลแปลก ๆ เช่น dfssdfsdf@gmail.com ที่ไม่สอดคล้องกับชื่อของลูกค้า มักเป็นอีเมลปลอม
- เลือกการจัดส่งด่วนพิเศษ เพราะมิจฉาชีพมักใช้บัตรคนอื่นและต้องการให้ของถึงเร็วที่สุดก่อนถูกตรวจจับ
หากสงสัยว่าออเดอร์ใดเป็นการฉ้อโกง ให้โทรหาลูกค้าทันที มิจฉาชีพแทบไม่เคยใช้เบอร์จริง หากเป็นลูกค้าจริง คุณจะได้คำตอบภายในไม่กี่วินาที แต่ถ้าโทรไปแล้วเป็นเบอร์ปลอมหรือมีคนรับสายที่ไม่รู้เรื่องคำสั่งซื้อ คุณสามารถยกเลิกและคืนเงินได้ทันที เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการเรียกเงินคืนหรือข้อพิพาทในภายหลัง
8. สั่งสินค้าตัวอย่างมาลองก่อนขายจริง
แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนจับสินค้าด้วยตัวเองในโมเดล Dropshipping แต่การสั่งสินค้าตัวอย่างถือเป็นหนึ่งในเทคนิคทํา Dropshipping ที่ชาญฉลาดที่สุด เพราะช่วยให้คุณเข้าใจคุณภาพสินค้า การจัดส่ง และบรรจุภัณฑ์ได้จริงก่อนขายให้ลูกค้า
- ตรวจสอบคุณภาพสินค้า เมื่อคุณได้จับสินค้าด้วยตัวเอง จะรู้ได้ทันทีว่าสินค้านั้นมีคุณภาพดีพอสำหรับลูกค้าหรือไม่ หากพบว่างานประกอบหรือวัสดุไม่ดีพอ คุณจะได้เปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์ที่ดีกว่า
- ทดสอบกระบวนการจัดส่งจริง เมื่อสั่งสินค้ามาที่อยู่ของคุณเอง คุณจะได้เห็นว่าการจัดส่งใช้เวลานานแค่ไหน พัสดุมาถึงในสภาพใด และแพ็กเกจจิ้งดูเป็นอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับปรุงประสบการณ์การจัดส่งและการแกะกล่องของลูกค้าให้ดีขึ้นได้
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์ การสั่งสินค้าตัวอย่างแสดงให้ซัพพลายเออร์เห็นว่าคุณใส่ใจคุณภาพจริง ๆ หากพบปัญหา คุณสามารถให้ข้อเสนอแนะพร้อมหลักฐานได้ ซึ่งซัพพลายเออร์ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญและปรับปรุงคุณภาพในออเดอร์ถัดไป
แม้การสั่งสินค้าตัวอย่างจะมีต้นทุนเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ในอนาคตได้มาก แถมยังช่วยให้คุณทำการตลาดได้ดีขึ้น ตั้งความคาดหวังได้ถูกต้อง และสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์ในฐานะร้านที่ขายสินค้าคุณภาพ
9. จัดการเคสคืนเงินให้รวดเร็ว
เทคนิคทํา Dropshipping อีกหนึ่งข้อคือ เมื่อมีลูกค้าโทรไปยังธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตเพื่อโต้แย้งยอดชำระ ระบบจะสร้างรายการที่เรียกว่าการขอเงินคืน โดยผู้ให้บริการชำระเงินจะหักยอดเงินจำนวนนั้นออกจากบัญชีของคุณชั่วคราว และขอหลักฐานยืนยันว่าธุรกิจ Dropshipping ของคุณได้จัดส่งสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าแล้วจริง
หากไม่สามารถให้หลักฐานได้ครบถ้วน คุณจะสูญเสียยอดเงินนั้นไป พร้อมต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประมวลผลขอคืนเงินเพิ่มเติม และถ้ามีเคสแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไป คุณอาจถูกระงับบัญชีผู้ค้ารับชำระได้
สาเหตุหลักของการขอเงินคืนมักเกิดจากการฉ้อโกง แต่บางครั้งก็เกิดจากสาเหตุทั่วไป เช่น ลูกค้าจำการสั่งซื้อไม่ได้ ไม่รู้ว่าชื่อร้านคือคุณ หรือไม่พอใจกับสินค้าที่ได้รับ
เมื่อคุณได้รับแจ้งขอเงินคืนคุณมักจะมีเวลาเพียงไม่กี่วันในการตอบกลับ ดังนั้นต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด หากต้องการโอกาสได้เงินคืน คุณควรเตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบ เช่น
อย่างไรก็ตาม หากคำสั่งซื้อนั้นมีที่อยู่เรียกเก็บเงินและที่อยู่จัดส่งไม่ตรงกัน โอกาสที่คุณจะชนะเคสแทบไม่มี เพราะผู้ให้บริการชำระเงินส่วนใหญ่จะคุ้มครองเฉพาะกรณีที่จัดส่งไปยังที่อยู่เรียกเก็บเงินของบัตรเท่านั้น
10. เขียนนโยบายการคืนสินค้าให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
ก่อนจะเขียนนโยบายคืนสินค้าสำหรับร้าน Dropshipping ของคุณ ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าซัพพลายเออร์แต่ละรายจัดการเรื่องการคืนสินค้าอย่างไร หากบางเจ้ามีระยะเวลาคืนสินค้าที่ยืดหยุ่น เช่น 45 วัน คุณก็สามารถเขียนนโยบายของร้านให้เป็นมิตรและใจกว้างได้ แต่ถ้าซัพพลายเออร์บางรายมีกฎเข้มงวดกว่านั้น คุณอาจต้องปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมกับข้อจำกัดนั้น
เมื่อมีลูกค้าต้องการคืนสินค้า กระบวนการจะมีลักษณะดังนี้
- ลูกค้าติดต่อคุณเพื่อขอคืนสินค้า
- คุณขอหมายเลข RMA จากซัพพลายเออร์
- ลูกค้าส่งสินค้ากลับไปยังซัพพลายเออร์ พร้อมระบุหมายเลข RMA บนที่อยู่จัดส่ง
- ซัพพลายเออร์คืนเงินให้คุณในราคาส่งของสินค้า
- คุณคืนเงินให้ลูกค้าในราคาขายปลีกเต็มจำนวน
อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้อาจไม่ราบรื่นเสมอไป เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้การคืนสินค้ายุ่งยากขึ้น เช่น
ค่าธรรมเนียมการนำสินค้ากลับเข้าสต็อก
ซัพพลายเออร์บางรายจะคิดค่าธรรมเนียมเล็กน้อยในการรับสินค้าคืน ซึ่งเป็นค่าดำเนินการเพื่อนำสินค้ากลับเข้าระบบ แม้ว่าคุณจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ แต่ไม่ควรผลักภาระไปให้ลูกค้า เพราะจะทำให้ร้านของคุณดูล้าสมัยและไม่เป็นมิตร การยอมจ่ายค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเองจะช่วยให้คุณได้ความไว้วางใจและลูกค้าซื้อซ้ำมากขึ้นในระยะยาว
สินค้ามีตำหนิหรือเสียหาย
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการได้รับสินค้ามีตำหนิ แล้วยังต้องจ่ายค่าขนส่งคืนเอง ซัพพลายเออร์ Dropshipping ส่วนใหญ่มักไม่รับผิดชอบค่าขนส่งคืนในกรณีสินค้ามีตำหนิ เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นผู้ผลิตโดยตรง
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการสร้างธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือ ควรชดเชยค่าขนส่งคืนให้ลูกค้าเสมอในกรณีที่สินค้ามีปัญหา เพราะนี่คือต้นทุนของการทำธุรกิจที่ดี
ถ้าสินค้ามีราคาต่ำ การส่งของใหม่ให้ลูกค้าโดยไม่ต้องให้ส่งของเก่าคืนอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งมีข้อดีหลายอย่าง เช่น
- คุ้มค่าในแง่ต้นทุน: การจ่ายค่าขนส่งคืน 350 บาท สำหรับสินค้าที่คุณซื้อในราคา 420 บาท อาจไม่คุ้มค่าเลย การให้สินค้าชิ้นใหม่แทนจะดีกว่า
- ลูกค้าประทับใจมากขึ้น: การส่งของใหม่ให้โดยไม่ต้องคืนของเก่าจะสร้างความพึงพอใจสูง และเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ
- ซัพพลายเออร์บางรายอาจช่วยออกค่าขนส่งให้: แม้ซัพพลายเออร์จะไม่จ่ายค่าขนส่งคืนสินค้าเสียหาย แต่หลายรายยินดีจ่ายค่าขนส่งสำหรับสินค้าทดแทน เพราะโดยปกติเขาต้องจ่ายอยู่แล้วในกรณีคืนของ
สำหรับลูกค้าที่ต้องการคืนสินค้าปกติ (ที่ไม่มีตำหนิ) ส่วนใหญ่ซัพพลายเออร์จะให้ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งคืนเอง แต่หากคุณเสนอคืนสินค้าฟรีสำหรับทุกออเดอร์ ร้านของคุณจะโดดเด่นกว่าแน่นอน (เหมือนที่ Zappos ใช้กลยุทธ์นี้เป็นจุดขายสำคัญ)
อย่างไรก็ตาม การให้คืนสินค้าฟรีทุกกรณีอาจมีต้นทุนสูงเกินไป และลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบค่าขนส่งคืน หากพวกเขาเปลี่ยนใจไม่อยากได้สินค้าเอง
หมายเหตุ: หากคุณทำ Dropshipping บน Amazon หรือ eBay นโยบายการคืนสินค้าของคุณจะต้องเป็นไปตามกฎของแพลตฟอร์มนั้น ๆ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะระบุเงื่อนไขไว้ในนโยบายร้านเอง ก็อาจไม่สามารถบังคับใช้ได้บนแพลตฟอร์มเหล่านี้
11. ตั้งกฎการจัดส่งให้เรียบง่ายและชัดเจน
การคำนวณค่าจัดส่งมักเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเจ้าของร้าน Dropshipping เพราะสินค้ามักมาจากหลายสถานที่และมีขนาดแตกต่างกัน ทำให้การคิดค่าจัดส่งที่แม่นยำเป็นเรื่องซับซ้อน
โดยทั่วไป ค่าจัดส่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
1. ค่าจัดส่งแบบเรียลไทม์ ระบบตะกร้าสินค้าจะคำนวณจากน้ำหนักรวมของสินค้าที่สั่งและปลายทางจัดส่ง เพื่อให้ได้ค่าจัดส่งจริงแบบเรียลไทม์ วิธีนี้แม่นยำมาก แต่ซับซ้อนในการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อสินค้ามาจากหลายคลัง
2. ค่าจัดส่งตามประเภทสินค้า คุณสามารถกำหนดอัตราค่าจัดส่งคงที่ตามประเภทสินค้า เช่น สินค้าขนาดเล็กจัดส่งในอัตรา 180 บาท ส่วนสินค้าขนาดใหญ่จัดส่งในอัตรา 350 บาท
3. ค่าจัดส่งแบบอัตราคงที่ วิธีนี้ง่ายที่สุด คือกำหนดค่าจัดส่งเท่ากันสำหรับทุกคำสั่งซื้อ หรืออาจเสนอบริการส่งฟรีทุกออเดอร์ ซึ่งแม้จะง่ายต่อการจัดการ แต่ก็ไม่สะท้อนต้นทุนค่าขนส่งจริงมากนัก
สำหรับการจัดการออเดอร์เทคนิคทํา Dropshipping ที่สำคัญคือเลือกความเรียบง่ายแทนความสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น เพราะเจ้าของร้านมือใหม่หลายคนใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์กับการตั้งค่าค่าขนส่ง ทั้งที่ยังไม่มียอดขายเกิดขึ้นเลย
แทนที่จะเสียเวลาในจุดนี้ ควรโฟกัสไปที่การตลาดและการบริการลูกค้า แล้วใช้วิธีตั้งค่าค่าขนส่งแบบคงที่ตามต้นทุนเฉลี่ยของคุณ ซึ่งแม้อาจขาดทุนในบางออเดอร์ แต่ก็จะได้กำไรชดเชยจากออเดอร์อื่น
แม้คุณจะสามารถสร้างระบบที่คิดค่าขนส่งแบบแปรผันตามซัพพลายเออร์ได้ แต่ลองถามตัวเองว่าคุ้มไหม? เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ชอบจ่ายค่าจัดส่งที่สูงเกินไป โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าสินค้ามาจากแหล่งเดียว
ดังนั้น ทางออกที่ง่ายและยั่งยืนกว่าคือ การลดจำนวนการจัดส่งหลายจุด ด้วยการเลือกซัพพลายเออร์ที่มีสินค้าคล้ายกัน และคัดเลือกสินค้าที่เหมาะกับระบบจัดส่งของคุณมากที่สุด
การจัดส่งระหว่างประเทศ
แม้ปัจจุบันการจัดส่งต่างประเทศจะสะดวกขึ้น แต่ก็ยังซับซ้อนกว่าการจัดส่งภายในประเทศ คุณต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้
- ข้อจำกัดด้านน้ำหนักและขนาดของแต่ละประเทศ
- ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากซัพพลายเออร์ในการประมวลผลคำสั่งซื้อต่างประเทศ
- ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในการแก้ปัญหาออเดอร์ เช่น คืนสินค้าหรือจัดส่งซ้ำ
- ค่าขนส่งที่สูงมากสำหรับสินค้าขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมาก
คำถามคือ “มันคุ้มค่าหรือไม่?” คำตอบก็จะขึ้นอยู่กับตลาดและอัตรากำไรของคุณ หากขายสินค้าชิ้นเล็กที่มีกำไรสูง การขยายตลาดต่างประเทศอาจคุ้มค่ากับความยุ่งยาก แต่หากขายสินค้าขนาดใหญ่หรือน้ำหนักมาก ต้นทุนและความซับซ้อนอาจไม่คุ้มกับผลตอบแทน
การเลือกผู้ให้บริการขนส่ง
การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เหมาะสมในประเทศไทยสามารถช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งได้อย่างมาก ปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลายรายที่เหมาะกับธุรกิจ Dropshipping ทั้งแบบภายในประเทศและระหว่างประเทศ
- ไปรษณีย์ไทย เหมาะสำหรับการจัดส่งสินค้าขนาดเล็กถึงกลาง มีบริการหลากหลายทั้งแบบ EMS, ลงทะเบียน และพัสดุธรรมดา ค่าจัดส่งเริ่มต้นไม่สูงและมีเครือข่ายทั่วประเทศ เหมาะกับร้านค้าที่เน้นส่งสินค้าบ่อยหรือมียอดสั่งซื้อต่อวันจำนวนมาก
- Kerry Express เป็นตัวเลือกยอดนิยมในไทยสำหรับร้านออนไลน์ ด้วยจุดเด่นด้านความรวดเร็วและระบบติดตามพัสดุที่แม่นยำ เหมาะสำหรับการจัดส่งสินค้าที่ต้องการความเร็วและความน่าเชื่อถือสูง
- Flash Express ให้บริการจัดส่งทั่วประเทศด้วยราคาที่แข่งขันได้ มีบริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน เหมาะสำหรับร้าน Dropshipping ที่ต้องการความสะดวกและต้นทุนต่ำ
- J&T Express เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมที่มีบริการรวดเร็วและระบบติดตามอัตโนมัติ ใช้งานง่ายและมีจุดบริการครอบคลุมทั่วไทย
- SCG Express และ Ninja Van เหมาะสำหรับร้านค้าที่ต้องการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่หรือมีปริมาณมาก โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการขนส่งระหว่างภาค
สำหรับการจัดส่งระหว่างประเทศ สามารถพิจารณาผู้ให้บริการอย่าง DHL Express, FedEx หรือ Aramex ที่มีบริการเชื่อมโยงทั่วโลกและจัดการเอกสารศุลกากรได้ครบถ้วน เหมาะกับร้านที่มีลูกค้าต่างประเทศหรือขายสินค้าผ่าน Shopify ไปยังหลายประเทศ
เมื่อคุณตั้งค่าตัวเลือกการจัดส่งในร้าน ควรจำแนกตาม “ระยะเวลาจัดส่ง” เช่น “จัดส่งภายใน 3 วันทำการ” หรือ “จัดส่งภายใน 5 วันทำการ” เพื่อให้ระบบสามารถเลือกผู้ให้บริการที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับแต่ละคำสั่งซื้อได้อย่างยืดหยุ่น และลูกค้าก็จะรู้เวลารอสินค้าที่ชัดเจนมากขึ้น
12. ให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ
การจัดการอีเมล คำขอ และการคืนสินค้าทั้งหมดในไฟล์ Excel ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับเจ้าของร้าน Dropshipping โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต การใช้กล่องอีเมลเดียวในการตอบลูกค้าทั้งหมดอาจทำให้เกิดความล่าช้า ข้อผิดพลาด หรือแม้แต่ทำให้พลาดการตอบกลับลูกค้าสำคัญได้
หนึ่งในเทคนิคทํา Dropshipping ที่ช่วยยกระดับคุณภาพการบริการได้ดีที่สุดคือ การใช้ระบบ Help Desk และเขียนบทความ FAQ (คำถามที่พบบ่อย) เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง และทีมซัพพอร์ตสามารถจัดการงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
ซอฟต์แวร์ Help Desk มีหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดมีจุดร่วมคือรวมศูนย์การสื่อสารกับลูกค้าไว้ในที่เดียว จัดเก็บประวัติการสนทนา และสามารถมอบหมายงานให้ทีมได้สะดวก
ตัวอย่างระบบที่ได้รับความนิยม ได้แก่
- Help Scout ระบบนี้จัดการทุกคำถามในรูปแบบอีเมล โดยไม่ใส่รหัส Ticket ยาว ๆ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนคุยกับบอท ลูกค้าจะเห็นอีเมลในรูปแบบปกติ ทำให้ประสบการณ์การติดต่อเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- Zendesk แพลตฟอร์มซัพพอร์ตลูกค้าที่ทรงพลังและปรับแต่งได้หลากหลาย รองรับเครื่องมือและการเชื่อมต่อหลายระบบ เหมาะกับธุรกิจที่เติบโตและต้องการระบบบริการหลังการขายที่มืออาชีพ แม้ต้องตั้งค่าพอสมควร แต่ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อปรับให้เหมาะกับธุรกิจคุณ
- Gorgias ออกแบบมาเฉพาะสำหรับร้านบน Shopify ช่วยรวมคำถามจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว ลดเวลาในการตอบกลับลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพทีมซัพพอร์ต มีระบบอัตโนมัติที่ตอบคำถามซ้ำ ๆ ได้แบบส่วนตัว เหมาะกับร้านที่มียอดขายต่อเนื่อง
- HelpCenter รวมคำถามจากอีเมล แชทสด และ Facebook Messenger ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยประหยัดเวลา และยังสามารถสร้างหน้าคำถามที่พบบ่อย (FAQ Page) ได้ง่าย ๆ เพื่อให้ลูกค้าค้นหาคำตอบด้วยตนเอง
- Richpanel ระบบนี้ช่วยให้คุณดูข้อมูลคำสั่งซื้อ ส่งหมายเลขติดตาม แก้ไขคำสั่งซื้อ หรือคืนเงินได้โดยไม่ต้องออกจากหน้า Help Desk นอกจากนี้ยังสร้างระบบตอบคำถามอัตโนมัติในศูนย์ช่วยเหลือ (Help Center) สำหรับคำถามที่ลูกค้ามักถามซ้ำได้ทันที
13. ลองเพิ่มช่องทางบริการสายด่วน
หากคุณกำลังทำธุรกิจ Dropshipping ควบคู่กับงานประจำ การเปิดบริการลูกค้าทางโทรศัพท์อาจดูเกินกำลังในช่วงแรก แต่สำหรับบางประเภทสินค้า โดยเฉพาะสินค้ามูลค่าสูง การมีช่องทางโทรศัพท์อาจสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้มากกว่าที่คิด
เช่น หากคุณขายเครื่องประดับหรือสินค้ามูลค่าสูงในช่วงราคาประมาณ 30,000–150,000 บาท ลูกค้าหลายคนอาจไม่กล้าซื้อสินค้าราคานี้โดยไม่พูดคุยกับเจ้าของร้านหรือพนักงานจริง ๆ ก่อน แต่ถ้าคุณขายสินค้าในช่วงราคา 800–2,000 บาท ลูกค้าส่วนใหญ่จะไม่จำเป็นต้องโทรสอบถาม หากเว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือ ให้ข้อมูลครบ และมีรีวิวจริงจากลูกค้า
หากตัดสินใจเปิดบริการโทรศัพท์ ควรวางแผนอย่างรอบคอบ อย่าใส่หมายเลขโทรศัพท์ขนาดใหญ่ไว้บนทุกหน้า เพราะจะทำให้มีสายโทรเข้าที่ไม่เกี่ยวข้องมากเกินไป ซึ่งเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น ควรแสดงหมายเลขโทรศัพท์เฉพาะในหน้าที่มีโอกาสปิดการขายสูง เช่น หน้าติดต่อเรา และหน้าตะกร้าสินค้า
ปัจจุบันมีบริการโทรศัพท์จากผู้ให้บริการภายนอกที่ช่วยให้เจ้าของร้านเล็ก ๆ ตั้งระบบสายด่วนหรือหมายเลขโทรฟรีได้ง่าย เช่น Grasshopper ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก คุณสามารถสมัครหมายเลขโทรฟรี พร้อมระบบโอนสายและกล่องข้อความเสียงได้ในราคาที่ไม่สูงมาก เหมาะสำหรับร้าน Dropshipping ที่ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยไม่ต้องตั้งทีมคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่
14. โฟกัสการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ยอดขายของธุรกิจ Dropshipping จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อลูกค้าหาคุณเจอบนโลกออนไลน์ ต่อไปนี้คือ เทคนิคทํา Dropshipping ที่ช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้เว็บไซต์ โดยเฉพาะสำหรับร้านใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น
ทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ
SEO คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสให้ร้านของคุณปรากฏในผลการค้นหาในอันดับต้น ๆ บน Google
เป้าหมายคือให้หน้าสินค้าของคุณติดอันดับในคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนพบร้านคุณโดยธรรมชาติ การค้นหาส่วนใหญ่เป็นคำสั้น ๆ ซึ่งมีปริมาณค้นหาสูง แต่ก็มีคู่แข่งมากและติดอันดับได้ยาก
ดังนั้น สำหรับร้านใหม่ ควรเริ่มจากคีย์เวิร์ดยาวหรือคำค้นที่มี 3 คำขึ้นไป แม้จำนวนการค้นหาจะน้อยกว่า แต่โอกาสติดอันดับจะสูงกว่า ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้คำว่า “กระเป๋าแฟชั่น” ให้ใช้ “กระเป๋าแฟชั่นผู้หญิงราคาถูก” หรือ “รองเท้าผ้าใบสีขาวผู้ชาย” ซึ่งเฉพาะเจาะจงและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกว่า
สามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner หรือ keyword.io เพื่อหาคำค้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ แล้วนำไปใช้ในคำอธิบายสินค้าและหัวข้อในเว็บไซต์
ใช้โฆษณา Facebook เพื่อเข้าถึงลูกค้าบนโซเชียลมีเดีย
Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่และมีความสนใจหลากหลาย การทำโฆษณาบน Facebook ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจากข้อมูลเชิงลึก เช่น อายุ พื้นที่ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการช้อปปิ้ง
บน Facebook Ads Manager คุณสามารถจับคู่สินค้าของร้านกับกลุ่มลูกค้าที่มีลักษณะตรงกับเป้าหมาย และเลือกประเภทโฆษณาที่เหมาะสม เช่น รูปภาพ วิดีโอ คารูเซล หรือแคตตาล็อกสินค้า จากนั้นดูว่ารูปแบบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
เคล็ดลับคือเริ่มจากงบเล็ก ๆ เช่น 300–500 บาทต่อวัน เพื่อทดสอบว่ากลุ่มไหนและคอนเทนต์แบบใดแปลงยอดขายได้มากที่สุด
ใช้ Google Ads เพื่อเข้าถึงลูกค้าที่ยังหาสินค้าอยู่
Google Ads ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายโดยตรงผ่านสองแพลตฟอร์มค้นหาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ Google และ YouTube เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มโฆษณาอื่น ๆ Google Ads ช่วยให้คุณตั้งงบประมาณรวมและงบต่อวันได้ รวมถึงเลือกรูปแบบโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก ซึ่งคุณจะถูกเรียกเก็บเงินเฉพาะเมื่อมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์ของคุณ ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ Google Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสำหรับมือใหม่ในการเริ่มทำตลาดออนไลน์
สิ่งที่ทำให้ Google Ads น่าสนใจเป็นพิเศษ คือความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ Search Ads, Google Display Network, และ YouTube Ads คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมเฉพาะ เช่น วิธีที่พวกเขาเคยโต้ตอบกับเว็บไซต์หรือแบรนด์ของคุณ เช่น เคยเข้าเยี่ยมชมหน้าใด หรือเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าแล้วไม่ได้สั่งซื้อ รวมถึงข้อมูลประชากร ความสนใจ และลักษณะอื่น ๆ ของผู้ใช้
ลองใช้ Google Display Network เพื่อทำรีมาร์เก็ตติ้งกับลูกค้าที่เพิ่งเข้าชมสินค้าบางรายการในร้านของคุณ เมื่อพวกเขาเข้าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายโฆษณาของ Google ระบบจะแสดงสินค้าที่พวกเขาเคยดูมาก่อนอีกครั้ง ทำให้คุณมีโอกาสเปลี่ยนผู้ชมเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าได้มากขึ้น
15. ใช้อีเมลทำ Dropshipping
ถึงแม้ปัจจุบันจะมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากมาย แต่อีเมลมาร์เก็ตติ้งก็ยังเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเติบโตธุรกิจ Dropshipping เพราะช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์อยู่แล้ว และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือวิธีใช้อีเมลมาร์เก็ตติ้งให้ได้ผลจริง
เพิ่มอีเมลในลิสต์ของคุณ
รายชื่ออีเมลจะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อคุณมีผู้ติดตามที่ตรงกลุ่มจริง ๆ เสนอสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อจูงใจให้คนสมัคร เช่น ส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก หรือบริการส่งฟรี
คุณยังสามารถจัดกิจกรรมแจกของรางวัล หรือสร้างคลับพิเศษเฉพาะสมาชิกอีเมล เพื่อให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมกับแบรนด์ มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดผู้ติดตามที่สนใจสินค้าของคุณจริง ๆ และต้องการรับข่าวสารจากร้านของคุณ
แบ่งกลุ่มผู้ติดตาม
ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนจะต้องการสิ่งเดียวกัน ควรแบ่งรายชื่ออีเมลออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามพฤติกรรม เช่น สินค้าที่เคยซื้อ ความสนใจ หรือระดับการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ เพื่อให้คุณสามารถส่งอีเมลที่ตรงใจมากขึ้น และสร้างแคมเปญแบบเฉพาะกลุ่มที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง
ด้วยเครื่องมือ Shopify Segmentation Tools คุณสามารถ
- ส่งข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้ากลุ่มมูลค่าสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายตลอดอายุการเป็นลูกค้า (CLV)
- มอบรางวัลความภักดีให้ลูกค้าที่ซื้อบ่อย หรือให้สิทธิ์เข้าถึงสินค้าใหม่ก่อนใคร
- เตือนลูกค้าที่ทิ้งสินค้าค้างไว้ในตะกร้าให้กลับมาซื้อ
- เชื่อมต่อกับลูกค้าเก่าที่ไม่ได้ซื้อสินค้านานแล้ว
- แปลงผู้สมัครอีเมลให้กลายเป็นลูกค้าครั้งแรกผ่านข้อเสนอพิเศษแบบเฉพาะเจาะจง
กลุ่มลูกค้าจะอัปเดตอัตโนมัติทุกครั้งเมื่อมีลูกค้าใหม่ หรือเมื่อข้อมูลของลูกค้าเปลี่ยน คุณสามารถสร้างกลุ่มได้ไม่จำกัด ทั้งจากเทมเพลตที่มีอยู่หรือปรับแต่งเองตามเกณฑ์ เช่น
- ข้อมูลประชากรของลูกค้า (เช่น พื้นที่ อายุ ฯลฯ)
- พฤติกรรมการสั่งซื้อ (สินค้าที่ซื้อบ่อย หรือความถี่ในการสั่ง)
- การมีส่วนร่วมกับอีเมล (เปิดอีเมล คลิกลิงก์ ฯลฯ)
- ข้อมูลเฉพาะที่คุณเพิ่มในโปรไฟล์ลูกค้า
ตั้งค่าอีเมลอัตโนมัติ
ประหยัดเวลาได้มากขึ้นด้วยการตั้งระบบอัตโนมัติให้ส่งอีเมลตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น
- อีเมลต้อนรับ แนะนำร้านของคุณและโชว์สินค้าขายดี
- อีเมลหลังการสั่งซื้อ ขอบคุณลูกค้า ยืนยันข้อมูลการจัดส่ง และขอรีวิวสินค้า
- อีเมลเรียกลูกค้าเก่ากลับมา กระตุ้นลูกค้าที่ไม่ได้เปิดอีเมลช่วงหลังให้กลับมาซื้ออีกครั้งด้วยข้อเสนอพิเศษ
ด้วย Shopify Email คุณสามารถเริ่มต้นได้ทันทีด้วยเทมเพลตอัตโนมัติที่ตั้งค่าไว้แล้ว ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขและการกระตุ้นการทำงาน (trigger) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพียงไม่กี่คลิกก็เปิดใช้งานได้เลย หรือคุณจะสร้าง workflow ของคุณเองโดยตั้งเงื่อนไขเฉพาะ เพิ่มขั้นตอนรอหรือตรรกะเงื่อนไขก็ได้
ก่อนส่ง คุณสามารถพรีวิวอีเมลเพื่อดูว่าจะแสดงผลอย่างไรในกล่องจดหมายของลูกค้า และยังสามารถเลือกเวลาส่งที่ระบบ Shopify Magic แนะนำโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มอัตราการเปิดอ่านและโอกาสในการขายของร้านคุณ
พร้อมใช้เทคนิคทำ Dropshipping สร้างความสำเร็จหรือยัง?
แม้ว่าการเริ่มทำ Dropshipping จะเป็นหนึ่งในวิธีที่เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ได้เร็วที่สุด แต่จำไว้ว่ามันไม่ใช่เส้นทางลัดสู่รายได้แบบอัตโนมัติ ธุรกิจ Dropshipping ที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการลงมือทำจริง ความสม่ำเสมอ และการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า หากคุณนำเทคนิคทํา Dropshipping ทั้งหมดที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้กับร้านของคุณ ก็จะสามารถเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจและสร้างรากฐานที่แข็งแรงสำหรับการเติบโตในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเทคนิคทํา Dropshipping
จะหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้จากไหน?
เริ่มจากการใช้ Shopify Collective เพื่อเชื่อมต่อกับแบรนด์ในสหรัฐฯ ที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว หรือใช้แอป Dropshipping เช่น DropCommerce, Syncee, และ AI Dropship ที่มีซัพพลายเออร์ที่ได้รับการยืนยันคุณภาพเสมอ ก่อนร่วมงาน ควรสั่งสินค้าตัวอย่างมาทดสอบคุณภาพและระยะเวลาจัดส่ง รวมถึงตรวจสอบรีวิวของซัพพลายเออร์และความเร็วในการตอบกลับด้วย
สินค้าที่ขายง่ายที่สุดในการทำ Dropshipping คืออะไร?
สินค้าที่มีน้ำหนักเบา ทนทาน และมีอัตราการคืนสินค้าต่ำ เช่น อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์ ผลิตภัณฑ์ความงาม และเครื่องประดับแฟชั่น มักขายง่ายกว่า เพราะมีปัญหาเรื่องการจัดส่งน้อย และไม่ต้องกังวลเรื่องวันหมดอายุหรือข้อจำกัดทางศุลกากรมากนัก
จะทำธุรกิจ Dropshipping ให้ประสบความสำเร็จได้ยังไง?
เริ่มจากการจัดการสต็อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้เสมอ จากนั้นใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลลูกค้า ตั้งกฎการจัดส่งให้เรียบง่าย ให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ และลงทุนในด้านการตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมร้านออนไลน์ของคุณ
จะทำการตลาดให้ร้าน Dropshipping ได้ยังไง?
เริ่มจากการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับ SEO เพื่อให้ร้านของคุณติดอันดับในผลการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง จากนั้นลงทุนในโฆษณาแบบชำระเงินบน Facebook Ads และ Google Ads เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ตรงกับสินค้าของคุณมากที่สุด
การทำ Dropshipping ยากมั้ย?
แม้ Dropshipping จะไม่ใช่วิธีสร้างรายได้แบบอัตโนมัติ แต่เป็นวิธีที่เริ่มขายของออนไลน์ได้ง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องลงทุนซื้อสินค้าสต็อกจำนวนมาก และยังสามารถขายสินค้าที่ลูกค้าต้องการได้ในราคาที่แข่งขันได้


