ทุกจุดในการเดินทางของลูกค้าบนเว็บไซต์ของคุณคือโอกาสสำคัญที่จะทำให้เส้นทางไปสู่การสั่งซื้อเป็นเรื่องง่ายและไม่สะดุด
เราจะพาไปดูวิธีเพิ่ม Conversion rate ด้วยเทคนิคและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้จริง
การปรับปรุง Conversion rate คืออะไร?
การทำ CRO คือกระบวนการเพิ่มสัดส่วนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ทำสิ่งที่คุณต้องการ เช่น การสั่งซื้อสินค้า กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการปรับดีไซน์เว็บไซต์ การใช้งาน (UX) และกลยุทธ์การตลาด เพื่อช่วยให้ผู้เข้าชมตัดสินใจทำรายการได้มากขึ้น
ในการวัดอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อ (CVR) จะใช้สัดส่วนระหว่างจำนวนธุรกรรมเทียบกับจำนวนผู้เข้าชมหรือจำนวน sessions แสดงผลออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยสูตรพื้นฐานคือ:
จำนวนธุรกรรม ÷ จำนวนผู้เข้าชม (หรือ เซสชั่น) x 100 = CVR
ตัวอย่างเช่น หากมี 1 ธุรกรรมต่อ 10 เซสชั่น (หรือ 10 ผู้ใช้ ขึ้นอยู่กับเมตริกที่เลือกใช้) คุณจะมี CVR ที่ 10%
อย่างไรก็ตาม แม้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อจะมักใช้วัดจำนวนผู้เข้าชมที่กลายเป็นลูกค้า แต่คุณอาจมีเป้าหมายอื่นที่ต้องการให้เกิดขึ้น เช่น สมัครอีเมล รับข่าวสาร หรือเข้าร่วมโปรแกรมสะสมแต้ม CVR จึงสามารถใช้วัดประสิทธิภาพของแคมเปญ โปรโมชั่น การปรับ UX หรือผลทดสอบ A/B testing ได้ด้วย
ดังนั้น สูตรที่ยืดหยุ่นกว่า คือ
จำนวนการทำตามเป้าหมาย ÷ จำนวนผู้เข้าชม (หรือ เซสชั่น) x 100 = CVR
ไม่ว่าคุณตั้งเป้าหมายอะไร การวัด CVR ไม่ได้เป็นแค่การดูผลกระทบต่อยอดขายเท่านั้น แต่ยังเป็นการประเมินภาพรวมของเว็บไซต์ สินค้า แบรนด์ การตลาด และการบริการลูกค้าของคุณด้วย ซึ่งทั้งหมดส่งผลต่อประสิทธิภาพและวิธีเพิ่ม Conversion rate ในระยะยาว
Conversion rate อีคอมเมิร์ซ อยู่ที่ระดับเท่าไหร่?
อ้างอิงจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ของ IRP Commerce อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2024 อยู่ที่ประมาณ 1.95% แต่โดยทั่วไปมักอยู่ในช่วง 2.5%–3%
อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทสินค้า ราคาต่อชิ้น และมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) ของร้านคุณด้วย
20 วิธีเพิ่ม Conversion rate กลยุทธ์ขั้นสูง
- เลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เหมาะกับธุรกิจ
- ใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อตั้งเกณฑ์วัดผล
- เลือกใช้เครื่องมือเพิ่มอัตราการสั่งซื้อที่เหมาะสม
- ปรับความเร็วเว็บไซต์ให้โหลดได้ไว
- ทำให้ขั้นตอนชำระเงินราบรื่นที่สุด
- สร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าชมรู้สึกปลอดภัย
- ทำการทดสอบการใช้งานจริงกับผู้ใช้
- ปรับปรุงระบบนำทางบนเว็บไซต์
- ทำให้เว็บไซต์ค้นหาได้ง่าย
- เก็บข้อมูลจากแบบสำรวจผู้ใช้
- ทำให้หน้าแสดงสินค้ามีความน่าสั่งซื้อ
- เขียนคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนและดึงดูด
- ขอความคิดเห็นเรื่องข้อความจากลูกค้าจริง
- ใช้ภาพสินค้าคุณภาพสูง
- ใช้ประโยชน์จากรีวิวและโซเชียลพรูฟ
- ทำ A/B testing อย่างสม่ำเสมอ
- เสนอส่วนลดหรือข้อเสนอเฉพาะผู้เข้าชมเว็บไซต์
- มีช่องทางบริการลูกค้าหลายรูปแบบ
- ปรับปรุงประสบการณ์หลังการสั่งซื้อ
- เสนอการช้อปปิ้งแบบ VR หรือประสบการณ์เสมือนจริง
1. เลือกแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เหมาะกับธุรกิจ
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซคือรากฐานของทุกกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อของคุณ เพราะมีผลต่อทั้งประสบการณ์ใช้งานของเว็บไซต์ ความสามารถในการขยายระบบ ไปจนถึงต้นทุนการเป็นเจ้าของระบบ (TCO) หาก TCO สูงเกินไป การมุ่งทำกิจกรรมเพิ่มรายได้อาจกลายเป็นภาระและทำให้ธุรกิจไม่มั่นคงในระยะยาว
ดังนั้น การเลือกแพลตฟอร์มอย่าง Shopify ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มรายได้จึงเป็นเหตุผลที่เหมาะสมกว่า ซึ่งจากผลวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก พบว่า Shopify เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นมีผลลัพธ์ที่เหนือกว่าในหลายด้าน ได้แก่
- ต้นทุนการเป็นเจ้าของทั้งหมด (TOC) ดีกว่า 33%
- ต้นทุนแพลตฟอร์มดีกว่า 23%
- ต้นทุนการดำเนินงานและบำรุงรักษาดีกว่า 19%
การศึกษายังพบด้วยว่าอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อบน Shopify สูงกว่าแพลตฟอร์มคู่แข่งสูงสุดถึง 36% และโดยเฉลี่ยสูงกว่า 15%

ฟีเจอร์การชำระเงินแบบเร่งรัดของ Shopify อย่าง Shop Pay ช่วยเพิ่มการสั่งซื้อได้สูงสุดถึง 50% เมื่อเทียบกับการชำระเงินแบบ Guest และยังทำผลงานดีกว่าระบบชำระเงินแบบเร่งด่วนอื่น ๆ อย่างน้อย 10% เมื่อมีการใช้งาน
แค่มีปุ่ม Shop Pay อยู่บนหน้าเช็กเอาต์ ก็สามารถช่วยเพิ่มการสั่งซื้อในขั้นตอนสุดท้ายได้ถึง 5%
👉 เปรียบเทียบ Shopify กับต้นทุนการเป็นเจ้าของปัจจุบันของคุณ
2. ใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อตั้งเกณฑ์วัดผล
ก่อนจะเริ่มหาแนวทางเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อ คุณจำเป็นต้องรู้ค่าปัจจุบันของร้านก่อน พร้อมกับตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) และมูลค่าตลอดอายุลูกค้า (CLV)
เพื่อทำสิ่งนี้ คุณต้องเข้าใจข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของตัวเองว่าลูกค้าเดินทางอย่างไร ตั้งแต่เข้ามาที่หน้าแรกจนถึงหน้าเช็กเอาต์ กระบวนการนี้บางครั้งเรียกว่า conversion funnel optimization
ผู้ใช้ Shopify จะเข้าถึงเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลหลายรูปแบบที่ช่วยทำขั้นตอนนี้ได้ง่ายขึ้น เช่น
- Shopify Live View รายงานกิจกรรมบนร้านแบบเรียลไทม์
- Shopify Product Insights เจาะลึกประสิทธิภาพสินค้าช่วง 90 วันที่ผ่านมา
- Shopify Marketing Reports ช่วยให้เห็นว่าผู้ซื้อเข้ามาจากช่องทางไหน และอะไรทำให้พวกเขากลายเป็นลูกค้าจริง
- รายงานลูกค้าของ Shopify ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า ใช้เป็นฐานวางแผนแคมเปญแบบแบ่งกลุ่ม
- ShopifyQL ระบบ API สำหรับเขียนคำสั่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากร้านของคุณ
- Shopify Web Pixels ช่วยเก็บและจัดการพิกเซลวิเคราะห์จากเครื่องมือภายนอกเพื่อดูพฤติกรรมผู้ซื้อได้แม่นยำขึ้น
เมื่อคุณมีข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ครบแล้ว จึงจะสามารถตั้งเกณฑ์วัดผลและตั้งเป้าหมาย CVR ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงกำหนดวิธีวัดความสำเร็จของกลยุทธ์ที่คุณจะใช้ต่อไป
3. เลือกใช้เครื่องมือเพิ่มอัตราการสั่งซื้อที่เหมาะสม
ลูกค้าของคุณไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน นั่นคือเหตุผลที่หนึ่งในขั้นตอนแรกของการทำ CRO คือการมองภาพรวมแบบยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง เพื่อหาว่าจุดติดขัดบนเว็บไซต์อยู่ตรงไหน เมื่อระบุปัญหาการทำงานของเว็บไซต์ได้ คุณจะเห็นชัดขึ้นว่าอะไรทำให้ผู้เข้าชมละทิ้งตะกร้าสินค้าหรือออกจากหน้าเว็บไป
มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยเก็บข้อมูล วิเคราะห์พฤติกรรม และตรวจสอบความเร็วในการโหลดหน้าเว็บสำหรับใช้ประเมิน CRO แต่เครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือเครื่องมือดูพฤติกรรมผู้ใช้ (user behavior tracking tools) เช่น LuckyOrange (พาร์ทเนอร์แอปที่ได้รับการรับรองจาก Shopify), CrazyEgg และ HotJar ซึ่งช่วยให้เห็นว่าผู้ใช้โต้ตอบกับหน้าเว็บของคุณอย่างไร ผ่านเครื่องมืออย่าง
- แผนที่ความร้อน: เครื่องมือนี้เหมือนเกม "ร้อน-เย็น" เวอร์ชันเสมือนจริง การแสดงภาพนี้จับการเคลื่อนไหวของเมาส์ของผู้ใช้ โดยจุดที่ร้อนที่สุดจะเรืองแสงสีแดง เพื่อให้คุณสามารถกำหนดสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ และสิ่งที่ไม่ได้รับการสังเกต
- แผนที่คอนเฟตติ: รูปแบบหนึ่งของแผนที่ความร้อน แผนภูมิเหล่านี้แสดงตำแหน่งที่ผู้ใช้คลิกตามตัวกรอง (เช่น แหล่งที่มาของการเข้าชมหรือประเทศต้นทาง)
- แผนที่การเลื่อนดูหน้า: แสดงว่าผู้ใช้เลื่อนหน้าเว็บลงมาถึงตรงไหน เพื่อช่วยกำหนดความยาวหน้าแลนดิ้งเพจที่ดีที่สุด รวมถึงตำแหน่งที่ควรวาง CTA
- การบันทึกผู้ใช้: ใช้ได้เฉพาะเมื่อดำเนินการตามกฎความเป็นส่วนตัวอย่างถูกต้อง ฟีเจอร์นี้ช่วยบันทึกและดูการใช้งานของผู้ใช้แบบเรียล ทำให้เห็นเส้นทางการใช้งานจริง และอุปสรรคที่ผู้ใช้เจอระหว่างการท่องเว็บของคุณ
นอกจากใช้ประเมินเว็บไซต์ปัจจุบันแล้ว เครื่องมือเหล่านี้ยังเหมาะสำหรับการทำ A/B testing เพื่อปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
4. ปรับความเร็วเว็บไซต์ให้โหลดได้ไว
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่ความเร็วของเว็บไซต์มีผลสำคัญต่อการสั่งซื้ออย่างมาก
Google ระบุว่าแค่เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ขึ้น 1 วินาที ก็สามารถทำให้อัตราการสั่งซื้อบนมือถือเพิ่มได้สูงสุดถึง 27% และเมื่อกว่า 70% ของผู้ซื้อช้อปผ่านมือถือ ความเร็วเว็บไซต์จึงส่งผลโดยตรงต่อรายได้แบบชัดเจน ยิ่งหน้าเว็บโหลดเร็ว อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อก็ยิ่งสูงขึ้น
สำหรับร้าน Smoke Cartel ที่ใช้แพลตฟอร์ม Shopify การใช้เซิร์ฟเวอร์ของ Shopify ช่วยให้หน้าเว็บโหลดไวขึ้น ส่งผลให้ยอดการสั่งซื้อและยอดขายเพิ่มตามไปด้วย อัตราการคลิก (CTR) เพิ่มจาก 0.8% เป็น 1.2% ซึ่งเจ้าของร้าน Sean Geng บอกว่า “ดูเหมือนเป็นตัวเลขเล็กน้อย แต่หมายถึงรายได้เพิ่มเป็นหลักพันดอลลาร์”
ในทำนองเดียวกัน Pineapple Dance Studios ก็ได้ผลลัพธ์คล้ายกันหลังย้ายมาใช้ Shopify เว็บไซต์ใหม่โหลดไวขึ้น 2 วินาที ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 207%
5. ทำให้ขั้นตอนชำระเงินราบรื่นที่สุด
สำหรับร้านค้าหลายแห่ง จุดที่ผู้เข้าชมกลายเป็นผู้ซื้อจริงมักเกิดขึ้นที่หน้าเช็กเอาต์ แต่ตามข้อมูลของ Baymard Institute ค่าเฉลี่ยการทิ้งตะกร้าสูงถึง 70% และพบด้วยว่า 18% ของผู้ใช้จะละทิ้งการซื้อทันที หากขั้นตอนเช็กเอาต์ดูยุ่งยากหรือใช้เวลานานเกินไป
นี่คือเหตุผลที่ “ประสบการณ์เช็กเอาต์ที่ราบรื่น” กลายเป็นปัจจัยสำคัญ แบรนด์จำนวนมากเริ่มเห็นประโยชน์ของการลดแรงเสียดทานในขั้นตอนชำระเงิน และลดจำนวนขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ซึ่งไม่มีวอลเล็ตใดทำได้ดีไปกว่า Shop Pay
เมื่อผู้ซื้อที่มีบัญชี Shop Pay เข้ามาที่หน้าเว็บ Shopify จะรู้จักตัวตนของพวกเขาได้ด้วยคลิกเดียว และถ้าเคยใช้ Shop Pay มาก่อน Shopify จะระบุตัวตนได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ทำอะไรเพิ่ม
ด้วยเหตุนี้ Shop Pay สามารถกรอกข้อมูลลูกค้าให้อัตโนมัติ ทำให้เช็กเอาต์เสร็จได้ในคลิกเดียว เร็วกว่าเช็กเอาต์แบบ Guest ถึง 4 เท่า และช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อได้อย่างเห็นผล

มีผู้ซื้อกว่า 150 ล้านคน ที่พร้อมใช้งานระบบชำระเงินแบบคลิกเดียวผ่าน Shop Pay อยู่แล้ว และในช่วงช้อปปิ้งหนักอย่าง BFCM (Black Friday Cyber Monday) ประสิทธิภาพของ Shop Pay โดดเด่นอย่างชัดเจน ยอดขายรวม (GMV) ที่ประมวลผลผ่าน Shop Pay ในช่วง BFCM ปี 2023 สูงถึง 2.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 60% จากปี 2022 ที่อยู่ที่ 1.59 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
6. สร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าชมรู้สึกปลอดภัย
การละเมิดข้อมูลไม่ได้มีเพียงผลกระทบทางการเงินเท่านั้น ผลพวงจากการฟิชชิ่ง ไวรัส และข้อมูลที่ถูกขโมยสามารถทำร้ายแบรนด์ของคุณและส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อ ลองดูตัวอย่างจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Estée Lauder, Canon, Nintendo และ Barnes & Noble ดู ทั้งหมดเป็นเหยื่อของการแฮ็กและการละเมิดข้อมูลในปี 2020
ด้วยเหตุนี้ การสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์จึงสำคัญอย่างมาก ทั้งสำหรับลูกค้าใหม่และผู้ซื้อออนไลน์ที่เคยมีประสบการณ์แล้ว การแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณปลอดภัยและเชื่อถือได้คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อ
7. ทำการทดสอบการใช้งานจริงกับผู้ใช้
การทำ User Testing เป็นวิธีเก็บข้อมูลแบบเชิงลึกเพื่อทำ CRO โดยต้องจ้างผู้ใช้จริงมาทดลองใช้งานเว็บไซต์ของคุณ พร้อมพูดความรู้สึกและประสบการณ์ออกมาระหว่างใช้งาน ปัจจุบันมีบริษัท SaaS หลายเจ้า เช่น User Testing ที่ให้บริการด้านนี้โดยไม่ต้องจัดกระบวนการเองให้ยุ่งยาก
โดยทั่วไป การทดสอบจะให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่อไปนี้
- ทำภารกิจเฉพาะเจาะจง
- ทำภารกิจแบบกว้าง
- ผ่านกระบวนการซื้อแบบเต็มรูปแบบ
ระหว่างที่ผู้ใช้ทำตามขั้นตอน ให้สังเกตพฤติกรรมของพวกเขาว่าโต้ตอบกับแต่ละหน้ายังไงบ้าง และบันทึกความคิดเห็นไว้เพื่อวิเคราะห์ภายหลัง
ตัวอย่างเช่น อาจให้ผู้ใช้เริ่มจากหน้าโฮมเพจ ค้นหาหมวดสินค้าที่ต้องการ จากนั้นหาสินค้าเฉพาะชิ้น เมื่อเข้ามาที่หน้าสินค้า ให้เลือกรุ่น สี ไซซ์ ที่ต้องการ ใส่สินค้าลงตะกร้า และดำเนินการเช็กเอาต์ให้เสร็จสมบูรณ์
ระหว่างกระบวนการ ให้ถามความคิดเห็นเพื่อประเมินความง่ายในการใช้งานเว็บไซต์ เช่น
- ขั้นตอนถัดไปมองเห็นชัดมั้ย หรือทำให้สับสน?
- มีจุดไหนที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจหรือไม่อยากซื้อ?
- ถ้าเป็นผู้ซื้อจริง จุดไหนที่อาจทำให้พวกเขาล้มเลิกการซื้อ?
การทดสอบแบบนี้ช่วยให้คุณได้ข้อมูลตรงจากผู้ใช้จริงว่าพวกเขาใช้เว็บไซต์ยังไง และเจอปัญหาตรงไหนบ้าง เพื่อให้เห็นโอกาสปรับปรุงอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้ออย่างชัดเจน
สำหรับข้อมูลเชิงลึกที่ดีที่สุด ควรใช้ผู้ทดสอบหลายกลุ่ม ทั้งคนที่เก่งเทคโนโลยี คนที่ทักษะพื้นฐาน และกลุ่มที่อยู่กึ่งกลาง เพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมที่สุด
8. ปรับปรุงระบบนำทางบนเว็บไซต์
การนำทางบนเว็บไซต์ควรลื่น ใช้งานง่าย และเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้นและมีโอกาสซื้อสินค้าเพิ่ม หากมีจุดไหนที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกติดขัด ก็จะทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อลดลงทันที
การปรับปรุงระบบนำทางบนเว็บไซต์สามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อได้สูงถึง 18.5% และยังช่วยลดอัตราการออกจากหน้าทันที (bounce rate) ซึ่งส่งผลดีต่อ SEO และช่วยให้หน้าเว็บไซต์มีอันดับดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกอย่าง Partake ใช้เมนูแบบดรอปดาวน์เพื่อให้ลูกค้าค้นหาสินค้าและซื้อได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งโดยรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อผู้ใช้คลิกเมนูหลักด้านบน เช่นแท็บ Products เว็บไซต์จะมีตัวเลือกสำคัญให้เห็นทันที เช่น หมวดหมู่ขายดี พร้อมลิงก์ไปยังหน้าสินค้าต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
9. ทำให้เว็บไซต์ค้นหาได้ง่าย
ฟังก์ชันค้นหา เป็นส่วนสำคัญของการนำทางและประสบการณ์ใช้งานบนเว็บไซต์ เพราะช่วยให้ลูกค้าหาสิ่งที่ต้องการได้ทันที เพิ่มโอกาสในการสั่งซื้ออย่างมาก ยิ่งข้อมูลหาเจอง่ายเท่าไร ลูกค้าก็ยิ่งมีโอกาสอยู่ต่อแทนที่จะออกจากเว็บไซต์ไปหาที่อื่น
ผู้ซื้ออาจค้นหาได้หลายรูปแบบ เช่น
- การค้นหาชื่อสินค้าตรง ๆ
- การค้นหาตามประเภทสินค้าแบบกว้าง
- การค้นหาเพื่อแก้ปัญหา (ยังไม่รู้ว่าควรซื้ออะไร แต่รู้ว่าต้องการแก้ปัญหาอะไรบางอย่าง)
- การค้นหาที่ไม่เกี่ยวกับสินค้า เช่น ตารางไซซ์ หรือวิธีจัดส่ง
ตัวอย่างเช่น Alo Yoga ใช้แถบค้นหาที่แนะนำสินค้าขายดีและคำค้นหาที่กำลังเป็นกระแส นอกจากนี้ เมื่อเริ่มพิมพ์ ระบบยังแนะนำคำค้นหาเพิ่มเติม เพื่อช่วยจับคู่ผู้ซื้อกับสินค้าที่ต้องการได้เร็วขึ้น และช่วยเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

โซลูชันจากพาร์ทเนอร์ Shopify ที่ช่วยปรับปรุงระบบค้นหาบนเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
- Searchspring
- Fast Simon
- Findify
10. เก็บข้อมูลจากแบบสำรวจผู้ใช้
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเป็นขั้นตอนสำคัญในการเข้าใจว่าทำไมปัญหาและจุดอ่อนบนเว็บไซต์จึงเกิดขึ้น และทำไมอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อจึงต่ำกว่าที่ควร แบบสำรวจช่วยให้คุณรวบรวมความคิดเห็นแบบปลายเปิดจากผู้ใช้ เพื่อระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุงได้อย่างชัดเจน
เทคนิคยอดนิยมในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้แก่
- แบบสำรวจบนเว็บไซต์ เช่น exit survey หรือ on-page survey ที่ถามความคิดเห็นโดยตรงเกี่ยวกับประสบการณ์ใช้งาน ควรมุ่งเน้นไปที่จุดติดขัด โอกาสพัฒนา และความกังวลหรือความไม่มั่นใจที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน
- แบบสำรวจลูกค้า เช่น อีเมลถามความคิดเห็นลูกค้าซื้อครั้งแรกหรือผู้ติดตามอีเมลข่าวสาร กลุ่มนี้มีประสบการณ์สดใหม่กับเว็บไซต์ของคุณ ถามเกี่ยวกับเส้นทางการซื้อ เหตุผลที่ตัดสินใจซื้อ และคำแนะนำที่มีต่อเว็บไซต์
ควรเก็บตัวอย่างคำตอบให้เพียงพอ เช่น 200 คำตอบสำหรับแบบสำรวจ หรือประมาณ 12 คนสำหรับการสัมภาษณ์ เพื่อให้เห็นแนวโน้มชัดเจน และใช้วิธีจำแนกคำตอบอย่างเป็นระบบ เช่นจัดกลุ่มคำตอบตามประเด็น เพื่อเปลี่ยนความคิดเห็นปลายเปิดให้กลายเป็นข้อมูลที่วัดผลได้ เช่น “20% ของผู้ที่เช็กเอาต์ไม่สำเร็จ เพราะหาเงื่อนไขการคืนสินค้าไม่เจอ”
ควรทำแบบสำรวจเป็นประจำ หรือทำเป็นรอบ ๆ ตลอดทั้งปี เพื่อให้คุณมีข้อมูลเชิงลึกล่าสุดในการพัฒนาเว็บไซต์อยู่เสมอ
11. ทำให้หน้าแสดงสินค้ามีความน่าสั่งซื้อ
ลองนึกภาพว่าหน้าแสดงสินค้าออนไลน์ก็เหมือนช่วงเวลาที่ลูกค้าหยิบสินค้าขึ้นมาจากชั้นวางและกำลังคิดว่าจะใส่ตะกร้าดีหรือไม่
- แต่ถ้าลูกค้ามีคำถามก่อนตัดสินใจ และหาพนักงานขายไม่ได้ล่ะ?
- หรืออยากซื้อสีหนึ่ง แต่ร้านไม่โชว์ให้ดู ทำให้ต้องไปดูของคู่แข่งแทน?
- หรือแม้จะหยิบของใส่ตะกร้าแล้ว แต่หาจุดชำระเงินไม่เจอ หรือร้านรับชำระเงินได้ไม่กี่แบบ?
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้เหมือนกันในโลกออนไลน์ การเข้ามาที่หน้าแสดงสินค้าเป็นช่วงเวลาที่ผู้ซื้อเกือบจะตัดสินใจแล้ว แต่แรงเสียดทานเพียงเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขาออกจากเว็บไซต์ได้ทันที
วิธีแก้คือทำให้หน้าแสดงสินค้ามีความ “พร้อมกระตุ้นให้ซื้อ” มากขึ้น ถ้าผู้ซื้อไม่กด “เพิ่มลงตะกร้า” อาจถึงเวลาตรวจสอบด้วย user testing เพื่อดูว่าผู้ใช้มองเห็นอะไรบนหน้าเว็บ และอะไรที่ทำให้เขาไม่ตัดสินใจซื้อ
12. เขียนคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนและดึงดูด
ตามการวิจัยของ Baymard ระบุว่า 10% ของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซมีคำอธิบายสินค้าที่ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของผู้ใช้ ตามที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ คำอธิบายสินค้าที่ยอดเยี่ยมไม่ได้เขียนเพื่อ SEO เท่านั้น แต่ต้องโน้มน้าวใจ ให้ข้อมูลครบ และอ่านสแกนได้ง่าย
ฟังดูยาก? จริง ๆ แล้วทำได้ง่ายกว่าที่คิด
- เขียนภาษาที่สื่อกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจริง ๆ ไม่ใช่เขียนให้บอตค้นหาอ่าน
- ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า เพราะลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่สินค้า แต่ซื้อ “การแก้ปัญหา” “ไลฟ์สไตล์” หรือ “ความรู้สึกบางอย่าง”
- ใช้คำบรรยายที่สื่อสัมผัส แต่หลีกเลี่ยงคำเว่อร์เวิ่นเว้นแต่พิสูจน์ได้ เช่น ร้านพิซซ่าที่อ้างว่าอร่อยที่สุดในโลกแต่ไม่มีหลักฐานรองรับ ก็ไม่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ
- ใส่ข้อมูลสำคัญ เช่น ขนาดสินค้า ตารางไซซ์ วัสดุ ส่วนผสม ความเข้ากันได้ อุปกรณ์ที่มีให้ในกล่อง พร้อมภาพที่ช่วยให้เห็นสเกลและรายละเอียดจริง
คำอธิบายสินค้าที่ดีไม่เพียงช่วยประสบการณ์ผู้ใช้ แต่ยังช่วยลดอัตราการคืนสินค้าได้ด้วย ซึ่งสำคัญมาก เพราะบางครั้งอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อที่ดูดี อาจไม่ใช่ตัวเลขจริงถ้าร้านมีอัตราการคืนสินค้าที่สูง
Dr. Squatch ใช้คำอธิบายสินค้าที่สั้น กระชับ และตรงใจกลุ่มลูกค้าของแบรนด์อย่างชัดเจน
13. ขอความคิดเห็นเรื่องข้อความจากลูกค้าจริง
ขั้นตอนการวิจัยสุดท้ายคือการเก็บฟีดแบ็กเกี่ยวกับข้อความบนเว็บไซต์ผ่านกระบวนการที่คล้ายกับข้อก่อนหน้า ข้อความบนเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสั่งซื้อ แต่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้แบบชัดเจนว่าอะไรทำงานดี อะไรไม่ดี และเพราะเหตุใด
การทดสอบข้อความผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก A/B testing หรือ focus group จะช่วยให้คุณนำข้อความของตัวเองไปอยู่ตรงหน้ากลุ่มเป้าหมายจริง และเก็บข้อมูลว่าพวกเขาตีความอย่างไร เช่น
- ข้อความชัดเจนหรือไม่
- ประโยชน์ของสินค้าที่คุณต้องการสื่อสอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการหรือไม่
- มีคำหรือวลีไหนที่ทำให้ผู้ใช้ลังเลหรือออกจากเส้นทางการซื้อหรือไม่
เมื่อทำการวิจัยทั้งเจ็ดขั้นตอนและรวบรวมข้อมูลครบแล้ว ขั้นต่อไปคือตั้งสมมติฐาน เพื่อเริ่มทดลองสิ่งใหม่ ๆ บนเว็บไซต์ โดยอิงจากข้อมูลและอินไซต์ที่ได้มา
14. ใช้ภาพสินค้าคุณภาพสูง
เรื่องเล่าที่ผู้ซื้อเห็นของจริงแล้วไม่ตรงปก ถึงได้ขึ้นพาดหัวข่าวอยู่บ่อย ๆ เพราะผู้ซื้อยุคนี้ต้องการรู้ล่วงหน้าว่าพวกเขากำลังจะซื้ออะไรอย่างชัดเจน ไม่ใช่เสี่ยงลุ้น
สำหรับหลายคน ภาพสินค้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการประเมินสิ่งนี้ ข้อมูลของเราพบว่า
- 33.16% ของลูกค้าต้องการเห็นภาพหลายมุม
- 60% ต้องการภาพแบบมองได้รอบ 360 องศา
การถ่ายภาพสินค้าเองแทนการใช้ภาพจากซัพพลายเออร์ ช่วยให้ร้านของคุณโดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น และยังทำให้ภาพสินค้าทุกชิ้นมีความสม่ำเสมอและดูดีที่สุด โดยทั่วไป ควรมีภาพต่อสินค้า 4–5 ภาพ ประกอบด้วย
- ภาพสินค้าแบบเน้นตัวสินค้า
- ภาพไลฟ์สไตล์
- ภาพแสดงสี รุ่น หรือรูปแบบต่าง ๆ
- ภาพหลายมุม พร้อมให้ซูมได้ถ้าเป็นไปได้
ภาพคมชัด แสงดี และความละเอียดสูงไม่เพียงเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อ แต่ยังช่วยลดอัตราการคืนสินค้า และเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
15. ใช้ประโยชน์จากรีวิวและโซเชียลพรูฟ
เมื่อลูกค้าใหม่เจอแบรนด์ของคุณเป็นครั้งแรก พวกเขามักจะนำคุณไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งเสมอ เกือบ 70% ของผู้ซื้อออนไลน์อ่านรีวิวลูกค้าอย่างน้อย 1–6 รีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ
วิธีหนึ่งที่ได้ผลที่สุดในการดึงดูดทั้งกลุ่มที่ระมัดระวังและกลุ่มที่ศึกษาข้อมูลมาแล้ว คือการใช้ Social Proof ซึ่งเปรียบเสมือนการบอกต่อแบบออนไลน์ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในทางปฏิบัติก็อาจรวมถึงการแสดงรีวิวลูกค้าหรือผู้เชี่ยวชาญ การติดตามและการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย สิ่งพิมพ์ที่สินค้าของคุณได้รับการแนะนำ สัญลักษณ์ความไว้วางใจ ป้ายรางวัล หรือการรับรองจากคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์
Kettle & Fire เพิ่มป้าย Verified Buyer ให้กับรีวิวเพื่อสร้างความไว้วางใจกับผู้ซื้อ
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันพาร์ทเนอร์ Shopify ที่สามารถช่วยคุณใช้ประโยชน์จากรีวิวลูกค้า เช่น
16. ทำ A/B testing อย่างสม่ำเสมอ
การทำ A/B testing คือการแสดงหน้าเว็บ 2 เวอร์ชันให้ผู้เข้าชมเท่า ๆ กัน ซึ่ง 50% เห็นเวอร์ชัน A (ตัวควบคุม) และอีก 50% เห็นเวอร์ชัน B (ตัวทดลอง) แล้วเปรียบเทียบผลด้านอัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นผู้ซื้อในช่วงเวลาเดียวกัน
เพื่อให้ผลลัพธ์ชัดเจน ความแตกต่างระหว่างหน้า A และ B ควร “เฉพาะเจาะจง” มากที่สุด เช่น ทดลองเปลี่ยนข้อความหัวเรื่อง ตำแหน่งปุ่ม ภาพ วิดีโอ หรือองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง ไม่ควรเปลี่ยนหลายอย่างในครั้งเดียว เพราะจะไม่รู้ว่าอะไรส่งผลจริง
เมื่อได้เวอร์ชันที่ทำผลงานดีที่สุดแล้ว คุณสามารถเลือกส่งผู้เข้าชมทั้งหมดไปยังหน้าเวอร์ชันที่ชนะ หรือทำการทดสอบเพิ่มเติมก็ได้
วิธีทำ A/B Testing อย่างถูกต้อง
- เลือกเครื่องมือทดสอบ A/B โปรแกรมอย่าง Optimizely ใช้งานง่าย สามารถตั้งค่าการทดสอบเล็ก ๆ ได้แม้ไม่มีทักษะด้านเทคนิค States Engine ช่วยให้วิเคราะห์ผลได้สะดวกขึ้น และ VWO มีเครื่องมือ SmartStates ที่ช่วยให้การวิเคราะห์ง่ายขึ้น โดยทุกแพลนมาพร้อม heat maps, แบบสำรวจบนไซต์, ฟอร์มอนาไลติกส์ ฯลฯ
- ใช้สมมติฐานที่ตั้งไว้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยน และอย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งควรเฉพาะเจาะจงในแต่ละการทดสอบ
- ตั้งค่าการทดสอบ A/B โดยใช้เครื่องมือที่คุณเลือก วิธีการตั้งค่าจะต่างกันไปตามเครื่องมือที่ใช้ โดยทั่วไปคุณต้องกำหนดพารามิเตอร์กลุ่มเป้าหมายของการทดสอบ และระบุ KPIs ที่ต้องการติดตาม
- ทำการทดสอบจนกว่าคุณจะมีขนาดตัวอย่างที่เพียงพอ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากลุ่มตัวอย่างผู้เข้าชมที่ผ่านการทดสอบอยู่ในระดับที่เหมาะสมตามเกณฑ์ที่แนะนำ
- ทำการทดสอบเป็นระยะเวลาที่เพียงพอ ตามรอบธุรกิจของคุณ บางเว็บไซต์ที่มีทราฟฟิกสูงอาจได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างครบภายใน 1 หรือ 2 วัน แต่ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมผู้ใช้จริง ควรดูข้อมูลเส้นทางการซื้อของคุณว่าโดยทั่วไปผู้ใช้ใช้เวลานานเท่าใดตั้งแต่เริ่มรู้จักสินค้าไปจนถึงจุดที่ตัดสินใจซื้อ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลการทดสอบ A/B ของคุณถึงนัยสำคัญทางสถิติ ความมีนัยสำคัญทางสถิติสามารถสรุปเป็นคำถามง่าย ๆ ว่า “ถ้าหน้า A และ B ไม่มีความแตกต่างกันจริง เราจะพบความแตกต่างอย่างที่เห็นในข้อมูลบ่อยแค่ไหน?” คำตอบคือระดับความมีนัยสำคัญ เครื่องมือ A/B testing ส่วนใหญ่จะแสดงข้อมูลนี้ให้ โดยค่าที่ต้องการคือความเป็นไปได้ต่ำ ประมาณ 95% ทั้งนี้ การต้องการระดับความนัยสำคัญสูงกว่านี้มักแลกมาด้วยเวลาในการทดสอบที่ยาวขึ้น
- วิเคราะห์ผลการทดสอบ A/B และกำหนดขั้นตอนถัดไป ใ ใช้เครื่องมือ A/B testing ที่เลือกเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและผลการทดสอบ ผลลัพธ์บอกอะไรคุณ? จากข้อมูลนี้ ให้ตัดสินใจว่าจะคงหน้าเดิมไว้หรือเปลี่ยนเป็นหน้าแบบทดลอง นอกจากนี้คุณอาจพบสัญญาณที่บอกว่าควรทำการทดสอบเพิ่มเติม
💡หมายเหตุ: ระวังความผิดพลาดของการเล่าเรื่อง การทดสอบอาจประสบความสำเร็จด้วยเหตุผลหลายอย่าง และข้อมูล A/B testing จะไม่บอกคุณว่าทำไมเวอร์ชันนั้นถึงได้ผลดี
17. เสนอส่วนลดหรือข้อเสนอเฉพาะผู้เข้าชมเว็บไซต์
ถ้าคุณต้องการเพิ่มอัตราการสั่งซื้ออย่างรวดเร็ว วิธีที่ได้ผลแน่นอนคือการให้โค้ดส่วนลด โปรโมชั่นต่าง ๆ เช่น ส่งฟรี ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นผู้ซื้อได้เช่นกัน
การให้ส่วนลดและโปรโมชันผ่านอีเมลหรือแคมเปญ SMS ช่วยเพิ่มอัตราการสั่งซื้อได้ดี โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้ทิ้งตะกร้าไปก่อน เช่น Glossier เสนอส่วนลด 15% สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก เมื่อผู้ซื้อกรอกอีเมลของตัวเอง ถือเป็นวิธีที่ช่วยดึงลูกค้าใหม่เข้ามาในระบบและกระตุ้นให้เริ่มซื้อสินค้าของแบรนด์ได้อย่างชาญฉลาด

อย่าลืมว่าการให้ส่วนลดอาจช่วยเพิ่มยอดสั่งซื้อได้ก็จริง แต่ก็กระทบกำไรต่อชิ้นเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ประโยชน์จากอัตราการสั่งซื้อที่ดีขึ้นหายไป หากให้โปรโมชันหรือส่วนลดบ่อยเกินไป ยังเสี่ยงทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหายได้ด้วย
18. มีช่องทางบริการลูกค้าหลายรูปแบบ
ความสำคัญของการบริการลูกค้าที่ดีต่อการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ช่องทาง” ที่ผู้คนใช้สื่อสารกับแบรนด์ และความเร็วที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ
การมีเพียงช่องทางบริการลูกค้าเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป คุณจำเป็นต้องมีหลายช่องทางรองรับเพื่อให้ตอบสนองพฤติกรรมผู้ใช้ที่แตกต่างกันได้อย่างครบถ้วน Shopify ยังมีพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเสริมด้านนี้ เช่น
19. ปรับปรุงประสบการณ์หลังการสั่งซื้อ
แม้ว่าการได้มาซึ่งหนึ่งออเดอร์เป็นเรื่องดี แต่การทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำยิ่งดีกว่า นั่นคือเหตุผลที่ประสบการณ์หลังการสั่งซื้อก็เป็นส่วนสำคัญของการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อโดยรวม
ตัวอย่างเช่น อีเมลต้อนรับหลังการสั่งซื้อ (welcome campaign emails) มักมีอัตราการเปิดสูงมาก ประมาณ 50%
หากคุณต้องการให้ลูกค้ารีวิวสินค้า ควรรอจนพวกเขามีเวลาใช้งานหรือทดลองสินค้าจริงก่อนค่อยส่งคำขอรีวิว เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่แม่นยำและจริงใจมากกว่า สุดท้าย อย่าปล่อยให้ลูกค้ากดปุ่มยกเลิกการสมัคร (Unsubscribe) ให้ตัวเลือก “ลดความถี่” ในการรับอีเมล หรือเลือกประเภทเนื้อหาที่ต้องการรับแทน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว
20. เสนอการช้อปปิ้งแบบ VR หรือประสบการณ์เสมือนจริง
ในโลกอีคอมเมิร์ซ การใช้เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ข้อมูลวิจัยก็ชี้ชัดแล้วว่ามันได้ผล ลูกค้ามีแนวโน้มตัดสินใจซื้อสูงขึ้นมากเมื่อสามารถลองสินค้าได้
แบรนด์ออนไลน์จำนวนมากเริ่มเห็นผลลัพธ์จริงจากการใช้ VR และ AR เพื่อพัฒนาอัตราการสั่งซื้อ ตัวอย่างชัดเจนคือแบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์อย่าง Rebecca Minkoff ผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ลองหมุนดูโมเดล 3D ของสินค้า มีโอกาสสั่งซื้อสูงขึ้น 27% และเมื่อผู้ใช้ดูสินค้าผ่าน AR โอกาสสั่งซื้อยังเพิ่มขึ้นมากกว่า 6%
ในทำนองเดียวกัน Gunner Kennels ใช้ความสามารถด้าน 3D/AR ของ Shopify ให้ผู้ใช้ลองวางโมเดลกรงหมาไว้ข้างสุนัขของตัวเอง ผลลัพธ์คืออัตราการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นถึง 40%
การสร้างกระบวนการวิจัยเพื่อเพิ่มอัตราการสั่งซื้อ
หากคุณต้องการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อบนเว็บไซต์ คุณต้องมีกระบวนการที่ทำซ้ำได้ และพิสูจน์ผลลัพธ์ได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณระบุได้ว่า
- ปัญหาคืออะไร
- ปัญหาอยู่ตรงไหน
- ทำไมปัญหาพวกนี้ถึงเกิดขึ้น
การวิจัยช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไร และจะพัฒนาประสบการณ์ของพวกเขาอย่างไร โดยเริ่มจากการตอบคำถามด้านบนให้ได้
คุณต้องสามารถทำสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
- ระบุพื้นที่ที่ควรปรับปรุง
- เข้าใจพฤติกรรมผู้เข้าชม และดูว่าฟีเจอร์บนเว็บไซต์มีผลต่อพฤติกรรมนั้นอย่างไร
- เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาสร้างอินไซต์และปรับเป็นแผนปฏิบัติ
เป้าหมายของการวิจัย คือการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล สร้างสมมติฐานใหม่ ๆ และหาอินไซต์ที่ช่วยกำหนดโรดแมปในการพัฒนาเว็บไซต์ของคุณ
ความสำเร็จของการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก
- ทำการทดสอบให้ได้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง
- ทดสอบแล้วต้องให้เวอร์ชันที่ดีขึ้น ชนะให้ได้มากที่สุด
- แต่ละครั้งที่ทดสอบสำเร็จต้องสร้างผลลัพธ์ต่ออัตราการสั่งซื้อให้มากที่สุด
เป้าหมายคือการเพิ่มการสั่งซื้อที่มีคุณค่าต่อรายได้ ไม่ใช่เพียงทำให้ตัวเลข KPI ในแดชบอร์ดดูดีขึ้น คุณควรใช้เวลาในการค้นหาปัญหาเฉพาะบนเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงโอกาสที่สามารถแก้ไขหรือพัฒนาได้ แล้วทดสอบวิธีแก้เหล่านั้นอย่างเป็นระบบ
เพิ่ม Conversion rate บนเว็บไซต์ของคุณตั้งแต่วันนี้
แม้จะมีแนวทางที่ทำตามได้จริงสำหรับการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อ แต่ก็มีความเชื่อผิด ๆ และความเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่ไม่น้อย ลองอ่านบทความเหล่านี้เพื่อรับเคล็ดลับเพิ่มเติม ปัญหาคือแม้ว่างานวิจัยและแบบสำรวจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมลูกค้าได้มาก แต่เป้าหมายด้านอัตราการสั่งซื้อควรถูกกำหนดจากความต้องการเฉพาะของร้านค้าและลูกค้าแต่ละธุรกิจเสมอ
สิ่งที่ใช้ได้ผลกับร้านหนึ่งไม่ได้แปลว่าจะใช้ได้ผลกับอีกร้านหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน วิเคราะห์ข้อมูล ทำวิจัย และกล้าทดลองวิธีใหม่ ๆ คือแนวทางที่ได้ผลจริงสำหรับการเพิ่มอัตราการสั่งซื้อ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเพิ่ม Conversion rate
จะเพิ่ม Conversion rate บนอีคอมเมิร์ซได้อย่างไร?
- เช็คให้แน่ใจว่าเว็บของคุณใช้ง่าย: รวมถึงการมีโครงสร้างการนำทางที่ชัดเจน ฟีเจอร์ที่ใช้งานง่าย และการออกแบบที่ตอบสนอง
- มีช่องทางชำระเงินหลายรูปแบบ: เช่น บัตรเครดิต PayPal Apple Pay เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวกขึ้น
- เสนอส่งฟรีหรือส่วนลด: สิ่งจูงใจประเภทนี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจสั่งซื้อเร็วขึ้น
- ปรับปรุงคำอธิบายสินค้าและภาพสินค้า: ให้ข้อมูลชัดเจน ถูกต้อง และอัปเดตอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและมั่นใจมากขึ้น
- มีช่องทางบริการลูกค้า: เช่น อีเมล โทรศัพท์ หรือไลฟ์แชต เพื่อช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความเชื่อมั่น
- สร้างความเร่งด่วน: เช่น โปรจำกัดเวลา เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
- ทดสอบเว็บไซต์: ทดลององค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สีเลย์เอาต์หรือภาพ เพื่อหาว่าแบบไหนช่วยเพิ่มการสั่งซื้อได้ดีที่สุด
กลยุทธ์เพิ่มอัตราการสั่งซื้อที่ดีควรเป็นอย่างไร?
เริ่มจากการวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์และพฤติกรรมผู้ใช้ ระบุโอกาสที่ส่งผลต่อการสั่งซื้อและจัดลำดับความสำคัญตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ UX และทำให้เว็บไซต์รวมถึงหน้าแลนดิ้งเพจเหมาะกับการใช้งานบนมือถือ
ใช้ A/B testing เพื่อหาว่าเนื้อหา ภาพ หรือองค์ประกอบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุด
ทำไมการเพิ่ม Conversion rate จึงสำคัญในอีคอมเมิร์ซ?
เพราะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมที่ซื้อจริง ลดการทิ้งตะกร้า และปรับประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นผ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เร็ว และไม่รบกวนการตัดสินใจ
อัตรา Conversion rate เฉลี่ยในอีคอมเมิร์ซอยู่ที่เท่าไหร่?
โดยทั่วไปอัตราการสั่งซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2%–3% แต่ตัวเลขนี้อาจแตกต่างมากตามประเภทธุรกิจ คุณภาพสินค้า/บริการ และความแข็งแรงของแผนการตลาด


