แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Facebook นั้นสร้างโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้ นอกจากนี้ยังดึงดูดให้เกิดการแข่งขัน เนื่องจากธุรกิจที่คล้ายคลึงกันมุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้กลุ่มเดียวกัน
ยิ่งมีความต้องการกลุ่มเป้าหมายบน Facebook มากเท่าไหร่ ต้นทุนโฆษณาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และการทำเงินจาก Facebook ก็จะยิ่งยากขึ้นด้วย คำถามคือคุณควรใช้งบประมาณเท่าไหร่เพื่อเอาชนะคู่แข่งและเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายให้ได้
ด้านล่างนี้คือตัวเลขงบประมาณเฉลี่ยของธุรกิจสำหรับค่าโฆษณาบน Facebook ในเดือนมิถุนายน 2025 พร้อมเคล็ดลับการลดต้นทุนแคมเปญโฆษณาโดยที่ยังได้ผลลัพธ์เท่าเดิม
ค่าโฆษณา Facebook อยู่ที่เท่าไหร่?
Facebook คิดเงินจากผู้ลงโฆษณาตามเกณฑ์ 2 อย่างคือราคาต่อคลิก (CPC) และราคาต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง (CPM)
- ค่าโฆษณา Facebook มีราคาอยู่ที่ประมาณ 70 เซนต์ (22.80 บาท) ต่อคลิก
- ค่าโฆษณา Facebook มีราคาประมาณ 13.75 ดอลลาร์ (447.20 บาท) ต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง
CPC โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook
CPC โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook ในเดือนพฤศจิกายนปี 2024 อยู่ที่ 72 เซนต์ (ประมาณ 23.41 บาท) ซึ่งทำให้ค่าโฆษณา Facebook ถูกกว่าค่าโฆษณาบน Instagram หรือ Google Ads
ฤดูกาลและการแข่งขันมีบทบาทสำคัญต่อต้นทุนในการชนะประมูลโฆษณาบน Facebook ถึงแม้ CPC เฉลี่ยของเว็บไซต์จะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ แต่ก็ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ช่วงเวลา ประเภท และวัตถุประสงค์ของแคมเปญ เพื่อให้ได้ค่าประมาณที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น
CPM โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook
CPM โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook ในเดือนพฤศจิกายนปี 2024 อยู่ที่ 13.75 ดอลลาร์ (ประมาณ 447.20 บาท)
ร้านค้าออนไลน์หลายร้านใช้ Facebook เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในหมู่ผู้ใช้งาน 3,000 ล้านคนในแต่ละเดือน หากคุณมีเป้าหมายเพื่อการเข้าถึงและรับรู้ ให้เน้นไปที่ราคาของการแสดงผล หรือที่เรียกว่าราคาต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง หรือราคาของการทำให้ผู้ใช้ Facebook จำนวน 1,000 คนเห็นธุรกิจของคุณ
CPL โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook
ถึงแม้ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายค่าโฆษณาตาม CPC และ CPM แต่เกณฑ์ชี้วัดอื่น ๆ อย่างต้นทุนต่อลูกค้าเป้าหมาย (CPL) ก็อาจช่วยให้คุณเข้าใจถึงคุณค่าโดยรวมของแคมเปญโฆษณา Facebook ของคุณได้ ซึ่ง CPL โดยเฉลี่ยสำหรับค่าโฆษณา Facebook ในเดือนมิถุนายนปี 2025 อยู่ที่ 32.69 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,063.13 บาท)
หลาย ๆ แบรนด์ใช้ Facebook เพื่อสร้างลูกค้าเป้าหมายจากอีเมลหรือกลุ่มลูกค้าที่ยินดีรับจดหมายข่าว โปรโมชั่น และการสื่อสารอื่น ๆ ผ่านทางอีเมล
โดยผู้ที่สมัครรับอีเมลเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มั่นคงและมีศักยภาพในการสร้างกำไรได้มากกว่า การสร้างรายชื่อผู้รับอีเมลผ่านโฆษณาบน Facebook จะทำให้ได้ประโยชน์จากการติดต่อกับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ซึ่งต่างจากจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาเพียงชั่วครู่
Meta มีเครื่องมือหลายตัวที่จะช่วยคุณปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายบน Facebook โดยสามารถใช้ข้อมูลประชากรเพื่อจำกัดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลง หรือขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกันโดยอิงจากลูกค้าที่คุณมีอยู่ได้
การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะสมัครรับข้อมูลมากที่สุดอาจช่วยเพิ่มอัตรา Conversion และลด CPL ลงได้ เมื่อราคาต่อลูกค้าเป้าหมายลดลง คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับฐานลูกค้าด้วยการจ่ายเงินน้อยลงได้
8 ปัจจัยที่มีผลต่อค่าโฆษณา Facebook
ค่าโฆษณา Facebook ไม่ได้มาจากการสุ่ม มีปัจจัยหลายอย่างรวมกันที่ส่งผลต่อราคาต่อคลิกหรือต่อการแสดงผลของทุกโฆษณาที่คุณลง
1. กลยุทธ์การเสนอราคา
กลยุทธ์โฆษณาที่คุณเลือกมีผลต่อค่าโฆษณา Facebook คุณสามารถเลือกที่จะจ่ายตามงบประมาณหรือเป้าหมายของโฆษณาได้ดังนี้
- กลยุทธ์การเสนอราคาตามการใช้จ่าย วิธีนี้จะช่วยให้ Facebook เพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุดภายในงบประมาณที่กำหนด ไม่ว่าจะด้วยการหาราคาต่อการแสดงผลโดยเฉลี่ยที่ต่ำที่สุด หรือโดยการกำหนดเป้าหมายการแสดงผลที่มีมูลค่าสูงในจำนวนไม่มาก
- กลยุทธ์การเสนอราคาตามเป้าหมาย วิธีนี้จะช่วยให้ Facebook กำหนดเป้าหมายอัตราการแสดงผลและจัดสรรค่าใช้จ่ายโฆษณาให้เหมาะสม โดยยังสามารถจำกัดการใช้จ่ายโดยรวมหรือกำหนดให้อยู่ภายในช่วงที่กำหนดไว้ได้
คุณอาจไม่ใช้อัลกอริทึมการเสนอราคาโฆษณาแบบไดนามิกของ Facebook และกำหนดการเสนอราคาโฆษณาด้วยตนเองได้
หากคุณกังวลเรื่องการใช้จ่ายเกินงบประมาณสำหรับค่าโฆษณา Facebook คุณสามารถกำหนดขีดจำกัดการเสนอราคาในแคมเปญของคุณได้ หากคุณสามารถคำนวณคุณค่าที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจได้ ขีดจำกัดการเสนอราคาจะช่วยให้คุณไม่ใช้จ่ายเกินกว่าคุณค่าที่ลูกค้ามี
2. คุณภาพและความเกี่ยวข้องของโฆษณา
ความเกี่ยวข้องของโฆษณาของคุณกับกลุ่มเป้าหมายจะมีผลต่อราคาที่คุณจ่าย โดย Meta ให้ความสำคัญกับโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ซึ่งจะทำให้มีการเรียกดูมากขึ้น โฆษณาที่เกี่ยวข้องมักจะมีประสิทธิภาพดีกว่า ทำให้คุ้มค่าต่อการจ่ายเงิน
เครื่องมือวินิจฉัยความเกี่ยวข้องของโฆษณาของ Meta สามารถแสดงให้คุณเห็นว่าโฆษณาของคุณมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายที่พยายามเข้าถึงหรือไม่ เครื่องมือนี้จะประเมินอันดับประวัติของโฆษณาของคุณในประมูลโฆษณาใน 3 แง่มุมดังนี้
- คุณภาพ - Meta ประเมินคุณภาพโฆษณาโดยพิจารณาจากข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้ (เช่น เลือกที่จะซ่อนโฆษณาหรือไม่) และองค์ประกอบของเนื้อหาโฆษณา (เช่น ภาษาที่เร้าอารมณ์ หรือคลิกเบต)
- การมีส่วนร่วม - หมายถึงจำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูกคลิก มีการแสดงความคิดเห็น แชร์ หรือดูเพิ่มเติม เมื่อเทียบกับโฆษณาของคู่แข่ง
- Conversion - คือโอกาสที่ผู้ใช้ที่ดูโฆษณาของคุณจะทำตามเป้าหมายที่คุณต้องการ
ใช้การวินิจฉัยเพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้นเกี่ยวกับโฆษณาที่มีประสิทธิภาพไม่ดี หาคำตอบว่าองค์ประกอบโฆษณาของคุณ ประสบการณ์หลังคลิก หรือการกำหนดเป้าหมายที่ต้องปรับปรุงคืออะไร?
3. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการอาจส่งผลต่อค่าโฆษณา Facebook ของคุณอย่างมาก ปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ สถานที่อยู่ และความสนใจ อาจทำให้ราคาตรงนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ตัวอย่างเช่น การกำหนดเป้าหมายไปที่เมืองที่มีประชากรหนาแน่นหรือกลุ่มประชากรที่เป็นที่ต้องการสูงอาจมีราคาสูงกว่า
โดยทั่วไปแล้ว การสร้างกลุ่มเป้าหมายนั้นมีอยู่ 2 วิธีดังนี้
- กลุ่มเป้าหมายเฉพาะหรือกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง - ซึ่งจะใช้การป้อนข้อมูลเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้คนที่รู้จักธุรกิจของคุณอยู่แล้ว หรือผู้ที่มีแนวโน้มจะสนใจ
- กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง - หมายถึงผู้ใช้ที่ Facebook ค้นพบ และอาจรวมถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายยิ่งขึ้น
อย่าลืมว่าการกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงอาจมีราคาต่อคลิกสูงกว่า แต่ถ้ากำหนดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงแล้วมีอัตรา Conversion สูงกว่า ก็อาจคุ้มค่าเงินที่จ่ายมากกว่า ซึ่งไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายเริ่มต้นของคุณจะเป็นใคร Meta จะเรียนรู้ว่าใครมีส่วนร่วมกับโฆษณาของคุณมากที่สุดตลอดเวลา และจะปรับกลุ่มเป้าหมายของคุณให้มีคนที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
4. รูปแบบและตำแหน่งของโฆษณา
ตำแหน่งโฆษณาหมายถึงตำแหน่งที่โฆษณาของคุณแสดงอยู่ปรากฏบน Facebook และภายในระบบ Ecosystemของ Meta ซึ่งรวมถึงโฆษณาบน Instagram ,Messenger และ Audience Network โดยค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าโฆษณาของคุณปรากฏในฟีดข่าวหรือคอลัมน์ด้านขวา
ตำแหน่งโฆษณาที่มีให้เลือกจะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญโฆษณา Facebook ตัวอย่างเช่น แคมเปญสร้างการรับรู้หรือการเข้าชมเว็บไซต์สามารถจัดรูปแบบได้ในขนาดต่าง ๆ เช่น รูปภาพหรือวิดีโอเดี่ยว ภาพสไลด์ หรือโฆษณาแบบคอลเลกชั่นบน Facebook, Marketplace และ Instagram
Facebook แนะนำให้แสดงโฆษณาบน Instagram และ Facebook เพื่อลดราคาโดยเฉลี่ยต่อผลลัพธ์ของโฆษณา โดยคุณสามารถให้ Facebook ปรับแต่งตำแหน่งโฆษณา หรือเลือกตำแหน่งที่คุณต้องการให้โฆษณาแสดงด้วยตนเองได้
5. ความถี่ของโฆษณา
Facebook ต้องการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์สดใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ซึ่งผู้ที่เห็นโฆษณาเดิมซ้ำ ๆ โดยเฉพาะผู้ที่เห็นแต่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับโฆษณาจะไม่ได้รับประสบการณ์ในลักษณะนี้
ทิม คลาร์ก ผู้จัดการอาวุโสด้านชื่อเสียงของเอเจนซี่การตลาดอย่าง Thrive กล่าวว่า “เมื่อคุณแสดงโฆษณาของคุณมาระยะหนึ่งแล้ว ก็จะมีคนกลุ่มเดิม ๆ ที่มองเห็นโฆษณานั้นอยู๋เรื่อย ๆ คุณจะสังเกตเห็นว่าต้นทุนค่าโฆษณาของคุณจะลดลงหากความถี่ของโฆษณาใกล้เคียงกับหนึ่งมากที่สุด”
กำหนดความถี่สูงสุดในตัวจัดการโฆษณา (Ads Manager) เพื่อไม่ให้โฆษณาแสดงบ่อยเกินไป ขีดจำกัดสูงสุดนี้หมายความว่าโฆษณาของคุณจะหยุดแสดงต่อกลุ่มเป้าหมายเดิมเมื่อคนกลุ่มนี้เห็นโฆษณาตามจำนวนครั้งที่กำหนดแล้ว ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าโฆษณา Facebook ได้
6. ระยะเวลาโฆษณา
อัลกอริทึมของ Facebook ต้องใช้เวลาสักพักในการกำหนดบริบทของแคมเปญ โดยเฉพาะหากคุณกำลังลงโฆษณาครั้งแรก ขั้นตอนการเรียนรู้นี้จะช่วยให้ Meta มีเวลาทดสอบและค้นหาตำแหน่งโฆษณา กลุ่มเป้าหมาย และกลยุทธ์การเสนอราคาที่ได้ผลดีที่สุด
แคมเปญจะผ่านพ้นขั้นตอนการเรียนรู้นี้ไปได้ด้วยกิจกรรมปรับแต่งประสิทธิภาพประมาณ 50 ครั้งในสัปดาห์หลังจากการแก้ไขครั้งใหญ่ครั้งล่าสุด ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการแก้ไข และควรสร้างชุดโฆษณาใหม่หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
แคมเปญที่ไม่จำกัดระยะเวลาอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการที่โฆษณาเล่นบ่อยจนเกินไปและต้นทุนตามฤดูกาลที่ผันผวน ตัวอย่างเช่น การลงโฆษณาในช่วงที่มีการแข่งขันสูง (เช่น ช่วงสุดสัปดาห์ Black Friday ถึง Cyber Monday) อาจทำให้ต้นทุนแคมเปญโดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากคุณต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงขึ้นเพื่อแย่งชิงยอดการแสดงผลโฆษณาในช่วงที่มียอดขายสูงสุด
7. ช่วงเวลาของปี
ต้นทุนค่าโฆษณา Facebook อาจเพิ่มขึ้นในบางช่วงเวลาของปี โดยค่าโฆษณา Facebook มักจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนหลัง ๆ ของปี ช่วง Black Friday และช่วงเทศกาลวันหยุดนักขัตฤกษ์จะดึงดูดผู้ลงโฆษณาให้เข้ามายังแพลตฟอร์มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนคู่แข่งในการประมูลโฆษณาเพิ่มขึ้นด้วย
8. เป้าหมายเชิงประสิทธิภาพ
ต้นทุนค่าโฆษณา Facebook ของคุณจะแตกต่างกันไปตามเป้าหมายเชิงประสิทธิภาพที่คุณเลือก ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ Facebook ต้องการให้เกิดขึ้นในการประมูลโฆษณา ไม่ว่าคุณจะตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ เพิ่มจำนวนการติดตั้งแอป หรือเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ แต่ละเป้าหมายย่อมมีต้นทุนของตัวเอง
คุณสามารถเลือกเป้าหมายเชิงประสิทธิภาพได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสิ่งต่อไปนี้
- การเข้าถึงโฆษณา
- จำนวนการแสดงผล
- จำนวนการดูหน้า Landing Page
- จำนวนการคลิกลิงก์
- การดูวิดีโอต่อเนื่องเป็นเวลา 2 วินาที
- จำนวนลูกค้าเป้าหมาย
เป้าหมายประสิทธิภาพที่มีอยู่จะขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์แคมเปญโฆษณาที่กว้างขึ้น
บางกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ากิจกรรมอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนให้ผู้สนใจกลายเป็นลูกค้าอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าจำนวนการดูหน้า Landing Page เมื่อต้องกำหนดงบประมาณโฆษณาและกลยุทธ์การเสนอราคา ให้พิจารณาต้นทุนของกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพที่คุณเลือก และตรวจสอบให้แน่ใจว่างบประมาณของคุณนั้นมากพอสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าว
วิธีประหยัดเงินค่าโฆษณา Facebook
- เลือกวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแคมเปญที่เหมาะสม
- กำหนดเป้าหมายในวงแคบ
- เลือกที่จะตัดกลุ่มเป้าหมายออก
- รันแคมเปญรีทาร์เก็ตติ้ง
- ทำให้แคมเปญของคุณมีความเกี่ยวข้อง
- ติดตามความถี่ของโฆษณา
- ทดสอบ A/B กับชิ้นงานโฆษณาและตำแหน่งโฆษณา
- ให้ความสำคัญกับประสบการณ์หลังคลิก
เมื่อโฆษณาบน Facebook สร้างรายได้ มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะระมัดระวังเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงงบประมาณการตลาดของคุณ คุณไม่ต้องการที่จะสูญเสียพื้นที่โฆษณาของคุณให้กับคู่แข่ง โชคดีที่ Meta มีเครื่องมือและข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายโฆษณาของคุณ นี่คือวิธีการใช้ประโยชน์
1. เลือกวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแคมเปญที่ถูกต้อง
หนึ่งในสิ่งแรกที่ Facebook ขอให้คุณทำเมื่อสร้างโฆษณาคือการเลือกวัตถุประสงค์ของแคมเปญ โดยมี 6 วัตถุประสงค์ให้เลือกใน Meta Ads Manager
- การรับรู้
- การเข้าชม
- การมีส่วนร่วม
- ลูกค้าเป้าหมาย
- การโปรโมตแอป
- การขาย
วัตถุประสงค์ที่คุณเลือกควรบ่งบอกถึงผลลัพธ์ที่คุณต้องการได้รับจากการซื้อโฆษณาบนแพลตฟอร์ม การทดลองวัตถุประสงค์เหล่านี้ รวมถึงเป้าหมายด้านประสิทธิภาพที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึงข้างต้นจะส่งผลต่อค่าโฆษณา Facebook
อัลกอริทึมจะจับคู่วัตถุประสงค์ของคุณกับผู้ใช้ที่ตรงตามเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังประมูลเพื่อขาย โฆษณาของคุณมีแนวโน้มที่จะแสดงต่อผู้ใช้ Facebook ที่เคยซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มนี้มาก่อน
การเลือกวัตถุประสงค์แคมเปญที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณเลือกที่จะสร้างลูกค้าเป้าหมายในขณะที่เป้าหมายที่แท้จริงของคุณคือการรับรู้แบรนด์ ประสิทธิภาพแคมเปญก็อาจน้อยลง เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายต้นทุนที่ไม่จำเป็น คุณจะต้องกำหนดเป้าหมายทางการตลาดที่ชัดเจนสำหรับแคมเปญโฆษณาของคุณ
2. กำหนดเป้าหมายในวงแคบ
อัลกอริทึมของ Facebook จะดูความเกี่ยวข้องของโฆษณาเมื่อคำนวณราคาเสนอ ยิ่งกลุ่มเป้าหมายของคุณแคบและมีความเกี่ยวข้องมาก โอกาสที่คุณจะชนะการประมูลโฆษณาก็จะยิ่งมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้การกำหนดเป้าหมายในวงแคบนั้นคุ้มค่ากว่า แต่เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม ควรเริ่มจากกลุ่มคนในวงที่กว้างขึ้น เพื่อให้คุณค้นพบว่ากลุ่มเป้าหมายประเภทใดที่ตอบสนองต่อเนื้อหาของคุณมากที่สุด
Josh Jurrens จาก Caliper Marketing กล่าว่า “ให้เริ่มกำหนดเป้าหมายให้กว้างกว่าที่คุณคิดไว้ในตอนแรก วิธีนี้จะช่วยให้ Facebook มีตัวเลือกมากขึ้นในการค้นหาผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะทำตามที่คุณตั้งใจไว้ ก่อนที่จะจำกัดขอบเขตการกำหนดเป้าหมายของคุณ การเริ่มต้นที่แคบเกินไปจะส่งผลให้ต้นทุนสูงและมีอัตราการทำให้ผู้สนใจกลายมาเป็นลูกค้าน้อยลง”
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณเป็นธุรกิจออนไลน์ที่ขายเครื่องชงกาแฟสำหรับใช้ในบ้าน คุณกำลังประสบปัญหากับค่าโฆษณา Facebook ที่สูงกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองนี้
- เพศหญิง
- อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา
- อายุ 18 ปีขึ้นไป
ข้อมูลการขายของคุณเผยให้เห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในลอสแองเจลิส และผลสำรวจลูกค้าบ่งชี้ว่าพวกเขาซื้อของจากคุณเพราะไม่มีเวลาไปซื้อกาแฟ Starbucks ระหว่างเดินทางไปทำงานในตอนเช้า
เมื่อมีข้อมูลนี้ คุณจึงปรับกลุ่มเป้าหมายของคุณเพื่อขายของใน Facebook และเข้าถึงผู้ที่
- อาศัยอยู่ภายในรัศมี 10 ไมล์จากลอสแองเจลิส
- แสดงความสนใจใน “Starbucks”
- มีรายได้ต่อปีมากกว่า 75,000 ดอลลาร์
การเริ่มต้นด้วยกลุ่มเป้าหมายที่มีอยู่แล้ว และใช้ข้อมูลเพื่อลดขนาดลง จะช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของโฆษณาและมีแนวโน้มที่จะลดค่าใช้จ่ายลงได้
3. เลือกที่จะตัดกลุ่มเป้าหมายออก
ไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มเป้าหมายของคุณที่จะเป็นลูกค้าที่แบบที่คาดหวัง คุณอาจต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าถึงผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเป้าหมายการโฆษณาของคุณ
หากเป้าหมายของคุณคือสร้างการรับรู้แบรนด์ และคุณจ่าย CPM เฉลี่ยที่ 12.74 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 414.33 บาท) เพื่อเข้าถึงผู้คนใหม่ 1,000 คน ให้ยกเว้นผู้ที่
- กดไลก์เพจ Facebook ของคุณอยู่แล้ว
- เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณภายใน 28 วันที่ผ่านมา
- เคยซื้อสินค้าไปแล้ว
นักการตลาดอย่าง Brooks Manley กล่าวว่า “บางแบรนด์กังวลว่าอาจตัดลูกค้าเป้าหมายออกไป แต่ถ้ามีข้อมูลประชากรหรือความสนใจบางอย่างที่อาจบ่งชี้ว่าไม่เหมาะกับสินค้าของคุณ ก็ให้ตัดออกไปได้เลย”
4. รันแคมเปญรีทาร์เก็ตติ้ง
Meta Pixel จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์และจับคู่กับโปรไฟล์ Facebook ซึ่งรวมถึงเพจที่พวกเขาเข้าชม สินค้าที่พวกเขาเพิ่มลงในตะกร้า และระยะเวลาการเข้าชม โดยข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถป้อนกลับไปยังแคมเปญของคุณเพื่อรันโฆษณารีทาร์เก็ตติ้งที่ปรับให้เหมาะกับคุณ
Usama Ejaz ผู้ร่วมก่อตั้งเครื่องมือจัดการโซเชียลมีเดียอย่าง SocialBu กล่าวว่า “จากประสบการณ์ของผม โฆษณารีมาร์เก็ตติ้งมีต้นทุนที่ต่ำที่สุด สมมติว่าคุณต้องการทำแคมเปญสำหรับการสมัครรับข้อมูลบล็อกบนเว็บไซต์ของคุณ ลองใช้โฆษณารีมาร์เก็ตติ้งที่กำหนดเป้าหมายไปที่ผู้เข้าชมบล็อกโพสต์ของคุณตั้งแต่โฆษณาแรกดู คุณก็จะประหยัดเงินได้มาก”
โฆษณารีมาร์เก็ตติ้งบน Facebook ที่อาจนำมาใช้ได้ ได้แก่
- โฆษณารถเข็นที่ถูกละทิ้ง - แสดงสินค้าที่ลูกค้าเพิ่มลงในรถเข็นแต่ไม่ได้ซื้อ
- โฆษณาหน้า Landing Page - แสดงโฆษณาตามพื้นที่บนเว็บไซต์ของคุณที่ลูกค้าเข้าชม
- โฆษณาสำหรับผู้เข้าชมล่าสุด - แสดงโฆษณา Facebook ให้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ล่าสุด เพื่อให้แบรนด์ของคุณเป็นที่จดจำ
5. ทำให้แคมเปญของคุณมีความเกี่ยวข้อง
เมื่อคุณแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงแล้ว การสร้างสรรค์โฆษณาของคุณให้มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าเป้าหมายก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น
แคมเปญรีทาร์เก็ตติ้งอาจอิงจากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ที่บุคคลนั้นเคยมีกับแบรนด์ของคุณ เช่น การดูหน้าผลิตภัณฑ์ โฆษณาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเองสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่ใช้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เช่น ความสนใจและตำแหน่งที่ตั้ง
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่แบบสำรวจหลังการซื้อและข้อมูลประสิทธิภาพโฆษณาย้อนหลัง ลูกค้าของคุณชอบโฆษณาแบบวิดีโอหรือภาพสไลด์? ใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อสร้างข้อความที่สอดคล้องกับน้ำเสียง คำศัพท์ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของคุณ
ตัวอย่างเช่น บริษัทซีเรียลเพื่อสุขภาพอย่าง Magic Spoon สัญญากับลูกค้าว่าจะได้ทานขนมขบเคี้ยวที่ "ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพกว่าใคร" เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท
Magic Spoon แสดงคุณค่าที่ไม่เหมือนใครในแคมเปญโฆษณาบน Facebook
6. ติดตามความถี่ของโฆษณา
ข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายโฆษณาบน Facebook คือแคมเปญอาจซ้ำซาก เมื่อผู้ใช้เห็นโฆษณาของคุณหลายครั้งในฟีดข่าว โฆษณานั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าได้ ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องและตรงเป้าหมายแค่ไหนก็ตาม
Facebook ติดตามความถี่ของโฆษณาด้วยการคำนวณง่าย ๆ โดยนำอิมเพรสชันหารด้วยยอดการเข้าถึง เมื่อคะแนนความถี่ของคุณเพิ่มขึ้นเกินสองหรือสาม ให้ลองปรับปรุงแคมเปญด้วยข้อความโฆษณา รูปภาพ หรือวิดีโอใหม่ ๆ คุณอาจพบว่าคุณไม่จำเป็นต้องปรับปรุงชิ้นงานโฆษณาทั้งหมดเพื่อให้คอนเทนต์น่าสนใจก็ได้
7. ทดสอบ A/B กับชิ้นงานโฆษณาและตำแหน่งโฆษณา
การโฆษณาบน Facebook เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
ตัวแปรหลายอย่างส่งผลต่อประสิทธิภาพของโฆษณา (รวมถึงปัจจัยตามฤดูกาลที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณด้วย) ดังนั้นจึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะเลือกชิ้นงานโฆษณาหรือกลุ่มเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถปรับปรุงผลลัพธ์และประสิทธิภาพด้านต้นทุนได้ด้วยการทดสอบ A/B
ฟีเจอร์การทดสอบ A/B ของ Facebook ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาค้นพบส่วนผสมที่ลงตัว ดังนั้นในแต่ละแคมเปญ ลองทดสอบองค์ประกอบต่อไปนี้และติดตามผลที่มีต่อค่าโฆษณา Facebook ของคุณ
- ชิ้นงานโฆษณา - รูปภาพ วิดีโอ หรือภาพสไลด์ อะไรที่ดึงดูดผู้ชมได้ดีกว่ากัน? แล้วคอนเทนต์แบบยาวกับแบบสั้นล่ะ? หรือจะเป็นคอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์หรือภาพที่ผู้ใช้สร้าง?
- รูปแบบและตำแหน่งโฆษณา - ฟีดข่าวอาจเป็นช่องทางแรกที่ผู้ลงโฆษณาจะเข้าถึง แต่ควรทดสอบว่าโฆษณาของคุณได้รับความสนใจจากช่องทางอื่น ๆ มากกว่าหรือไม่ เช่น Audience Network นอกจากนี้ Instagram Stories ก็เป็นอะไรที่น่าลอง หากคุณให้ความสำคัญกับยอดการคลิกด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด
8. มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์หลังคลิก
โฆษณา Facebook ที่ประสบความสำเร็จถือเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่าสำหรับทุกธุรกิจ แต่ประสบการณ์หลังคลิกจะมีบทบาทสุดท้ายในการตัดสินว่าการคลิกโฆษณาจะทำให้ผู้ชมกลายเป็นผู้ซื้อหรือไม่
แคมเปญที่สะดุดตาจะไม่ช่วยอะไรถ้าคุณนำเสนอเว็บไซต์ที่โหลดช้าหรือประสบการณ์การใช้งานที่สับสนให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพ
นี่คือวิธีง่าย ๆ ในการปรับปรุงประสบการณ์หลังคลิกของผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านโฆษณา Facebook
- นำผู้ซื้อไปยังหน้า Landing Page ที่ปรับตามแต่ละบุคคล - ช่วยให้ค้นพบสินค้าได้ง่ายโดยชี้นำโฆษณาของคุณไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง (ไม่ใช่หน้าแรก)
- โหลดได้รวดเร็ว - การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์เพียงหนึ่งวินาทีสามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าได้ 27% พยายามบีบอัดรูปภาพ ลบ Javascript ที่ไม่จำเป็น และลดขนาดแอปจากภายนอกเพื่อให้โหลดได้เร็วขึ้น
- ทำให้เหมาะกับมือถือ - ผู้ใช้ Facebook ส่วนใหญ่เข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ผ่านอุปกรณ์มือถือ ร้านค้าออนไลน์ของคุณต้องรองรับการแสดงผลแบบโต้ตอบและปรับขนาดให้เหมาะกับหน้าจอที่เล็กลง
- ทำให้ชำระเงินได้ใรคลิกเดียว - ลดความยุ่งยากในขั้นตอนการชำระเงิน ช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะออกจากร้าน ใช้ Shop Pay เพื่อเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชั่นได้ 10% เมื่อเทียบกับการชำระเงินแบบเร่งด่วนอื่นๆ
คุ้มหรือไม่ที่จะจ่ายค่าโฆษณา Facebook?
การตลาดบน Facebook เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าสำหรับธุรกิจทุกขนาด คุณจะพบลูกค้าที่มีความสนใจ ระดับรายได้ และสถานที่ตั้งที่ใช้แพลตฟอร์มนี้ที่หลากหลาย ซึ่งหลายคนค้นพบสินค้าใหม่ ๆ ผ่านโฆษณาในฟีดข่าว ซึ่งทำให้โฆษณาบน Facebook นั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน
การโฆษณาบน Facebook ที่มีประสิทธิภาพคือการลองผิดลองถูก ทดสอบแคมเปญและชิ้นงานโฆษณาต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผลงานที่ผ่านมา ในไม่ช้าคุณก็จะเริ่มเห็นกลยุทธ์การโฆษณาที่คุ้มค่าและได้ผล ซึ่งตรงใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าโฆษณา Facebook
ทำไมค่าโฆษณา Facebook ถึงแพง?
โฆษณาบน Facebook ที่กำหนดเป้าหมายไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นที่นิยมหรือกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณค่าอาจมีราคาแพง เนื่องจากธุรกิจหลายแห่งกำลังประมูลพื้นที่โฆษณาเดียวกัน ยิ่งการประมูลโฆษณามีการแข่งขันสูง ต้นทุนการเสนอราคาที่ชนะก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
ราคาต่อคลิกที่ดี คืออะไร?
ราคาต่อคลิกของโฆษณาบน Facebook เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ของโฆษณาและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ราคาต่อคลิกที่ดีช่วยให้นักการตลาดชนะการประมูลโฆษณาบน Facebook และแสดงโฆษณาต่อผู้ใช้ Facebook โดยไม่กระทบต่อมูลค่าการคลิกตามที่คาด
คุณควรจ่ายค่าโฆษณา Facebook วันละเท่าไหร่?
งบประมาณโฆษณาขั้นต่ำสำหรับโฆษณา Facebook คือ 1 ดอลลาร์ (ประมาณ 32.53 บาท) ต่อวันสำหรับแคมเปญที่คิดเงินตามจำนวนการแสดงผล สำหรับแคมเปญที่เน้นเชิงรุกมากขึ้น เช่น แคมเปญที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมหรือยอดขาย ขอแนะนำให้มีงบประมาณขั้นต่ำที่ 5 ดอลลาร์ (ประมาณ 162.62 บาท) ต่อวัน
ระบบประมูลโฆษณาของ Facebook ทำงานอย่างไร?
ระบบการประมูลโฆษณาของ Facebook เปรียบเสมือนสงครามการเสนอราคาที่ธุรกิจต่าง ๆ แย่งชิงพื้นที่โฆษณา แต่ไม่ใช่แค่ใครเสนอราคาสูงสุดเท่านั้น Facebook ยังพิจารณาถึงความเกี่ยวข้องและคุณภาพของโฆษณาด้วย ระบบนี้มุ่งหวังที่จะแสดงโฆษณาที่มีคุณค่าสูงสุดต่อผู้ใช้ โดยสร้างสมดุลระหว่างราคาเสนอโฆษณาและคุณภาพของโฆษณา
คุณจะปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาบน Facebook ได้อย่างไร?
การปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณามักขึ้นอยู่กับการปรับแต่งการกำหนดเป้าหมาย ปรับปรุงความคิดสร้างสรรค์ของโฆษณา และเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การเสนอราคา ใช้ข้อมูลเชิงลึกของผู้ชมของ Facebook เพื่อทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ดียิ่งขึ้น และปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมของพวกเขา
การจ่ายค่าโฆษณา Facebook คุ้มค่าหรือไม่?
ด้วยการเข้าถึงที่เหนือชั้นของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทำให้โฆษณาบน Facebook ยังคงเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับแบรนด์ออนไลน์ แต่แคมเปญการตลาดที่หลากหลายและการใช้ประโยชน์จากหลายช่องทาง รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ น่าจะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด


