หากคุณกำลังจะเปิดร้านและอยากซื้อสินค้าราคาถูกจากซัพพลายเออร์ การมีใบอนุญาตค้าส่งคือสิ่งจำเป็น เพราะมันช่วยให้คุณเข้าถึงส่วนลดราคาส่งที่ลูกค้าทั่วไปไม่ได้รับ
หากไม่มีใบอนุญาตนี้ คุณอาจต้องซื้อสินค้าในราคาปลีกเหมือนผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งจะทำให้กำไรต่อชิ้นเหลือน้อยมาก แต่หากมีใบอนุญาตค้าส่งที่ถูกต้อง คุณยังสามารถซื้อสินค้าในราคาส่งโดยไม่ต้องเสียภาษีบางประเภทได้อีกด้วย
มาดูกันว่าการขอใบอนุญาตค้าส่งต้องทำอย่างไร ใบอนุญาตนี้คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และต้องเตรียมงบประมาณเท่าไหร่ในการดำเนินการ
ใบอนุญาตค้าส่ง คืออะไร?
ใบอนุญาตค้าส่งคือเอกสารที่ให้สิทธิ์คุณสามารถซื้อสินค้าจำนวนมากโดยตรงจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ในราคาที่ถูกกว่าทั่วไป อีกทั้งในหลายกรณี คุณไม่จำเป็นต้องชำระภาษีการขายเมื่อซื้อสินค้าเหล่านี้
คุณจะต้องมีใบอนุญาตค้าส่ง หากคุณวางแผนจะขายสินค้าต่อให้กับลูกค้า (ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออนไลน์หรือหน้าร้านจริง) หรือจำหน่ายต่อให้กับธุรกิจอื่น ๆ โดยกฎระเบียบและค่าธรรมเนียมในการขอใบอนุญาตนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัดหรือประเทศ บางพื้นที่อาจเก็บค่าธรรมเนียมตอนยื่นขอและต้องต่ออายุทุกปี ขณะที่บางแห่งไม่เก็บเลย
ข้อดีหลักของการมีใบอนุญาตค้าส่งคือการเข้าถึงสินค้าราคาส่งที่ถูกลง ทำให้ได้กำไรต่อชิ้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากกฎหมายกำหนด คุณจะต้องจัดเก็บและชำระภาษีการขายจากลูกค้าอย่างถูกต้องด้วย
📚อ่านเพิ่มเติม: ความแตกต่างระหว่างค้าส่งกับค้าปลีก
ขั้นตอนวิธีจดทะเบียนค้าส่ง
- ลงทะเบียนธุรกิจและเลือกโครงสร้างทางกฎหมาย
- ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภ.พ.20)
- ขอใบอนุญาตจำหน่ายสินค้าควบคุม
- เตรียมเอกสารประกอบตามวิธีจดทะเบียนค้าส่ง
- ยื่นคำขอจดทะเบียนค้าส่งและชำระค่าธรรมเนียม
- รออนุมัติและรับใบอนุญาตค้าส่งอย่างเป็นทางการ
1. ลงทะเบียนธุรกิจและเลือกโครงสร้างทางกฎหมาย
ขั้นตอนแรกของการขอใบอนุญาตค้าส่งในประเทศไทย คือการจดทะเบียนธุรกิจ เพื่อให้กิจการของคุณมีสถานะถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสามารถดำเนินการได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)
ในขั้นตอนนี้ คุณจะต้องเลือกประเภทของนิติบุคคลที่เหมาะกับรูปแบบการทำธุรกิจ เช่น
- บุคคลธรรมดา (จดทะเบียนพาณิชย์) – เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือเจ้าของร้านรายเดียว
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ / ห้างหุ้นส่วนจำกัด – เหมาะกับธุรกิจที่มีผู้ร่วมลงทุนหลายคน
- บริษัทจำกัด (Limited Company) – เหมาะกับธุรกิจค้าส่งที่ต้องการขยายกิจการและสร้างความน่าเชื่อถือ
- บริษัทมหาชนจำกัด (Public Company Limited) – เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจต้องการระดมทุนในอนาคต
การเลือกประเภทนิติบุคคลที่เหมาะสมมีผลต่อการวางกลยุทธ์ค้าส่งในระยะยาว ทั้งในด้านภาษี ความรับผิดชอบทางกฎหมาย และความน่าเชื่อถือในการเจรจากับซัพพลายเออร์
2. ขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภ.พ.20)
หลังจากจดทะเบียนธุรกิจเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (ภ.พ.20) จาก กรมสรรพากร เพื่อใช้เป็นรหัสประจำตัวของกิจการในเรื่องภาษีและธุรกรรมทางการเงิน เช่น การเปิดบัญชีธนาคารในนามธุรกิจ หรือการออกใบกำกับภาษีอย่างถูกต้อง
เอกสารที่ใช้ในการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี ได้แก่
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของเจ้าของกิจการ (หรือหนังสือรับรองบริษัทสำหรับนิติบุคคล)
- เอกสารแสดงสถานที่ประกอบการ เช่น สัญญาเช่าหรือโฉนดที่ดิน
- แบบฟอร์ม ภ.พ.01 สำหรับแจ้งเริ่มต้นประกอบกิจการ
เมื่อยื่นเอกสารครบถ้วน สามารถขอรับเลขประจำตัวผู้เสียภาษีได้ทันทีที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือยื่นผ่านระบบออนไลน์ของกรมสรรพากรได้เช่นกัน
3. ขอใบอนุญาตจำหน่ายสินค้าควบคุม
เมื่อคุณจดทะเบียนธุรกิจและขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบว่าสินค้าที่คุณจำหน่ายเข้าข่าย “สินค้าควบคุม” หรือไม่ หากใช่ คุณจำเป็นต้องขอใบอนุญาตเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเริ่มขายสินค้า
ตัวอย่างสินค้าควบคุมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย ได้แก่
- อาหาร ยา เครื่องสำอาง และอาหารเสริม – ต้องขออนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ – ต้องขออนุญาตจาก กรมสรรพสามิต
- สินค้าเกษตรและปุ๋ยเคมี – ต้องขออนุญาตจาก กรมวิชาการเกษตร
- สินค้าควบคุมราคาหรือสินค้าสำคัญทางเศรษฐกิจ – ต้องแจ้งต่อ กรมการค้าภายใน
ข้อกำหนดและเอกสารที่ต้องใช้แตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า ควรตรวจสอบรายละเอียดจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจค้าส่งของคุณเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
4. เตรียมเอกสารประกอบตามวิธีจดทะเบียนค้าส่ง
เมื่อคุณจดทะเบียนธุรกิจและขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมเอกสารให้ครบก่อนยื่นขอจดทะเบียนค้าส่งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่ต้องใช้จะแตกต่างกันเล็กน้อยตามพื้นที่หรือประเภทธุรกิจ แต่โดยทั่วไปจะมีดังนี้
- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ประกอบการ
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (กรณีเป็นนิติบุคคล)
- สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)
- สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์
- ที่อยู่สถานประกอบการ (พร้อมสัญญาเช่าหรือโฉนดที่ดิน)
- ข้อมูลติดต่อธุรกิจ (เบอร์โทร อีเมล เว็บไซต์)
- รายละเอียดประเภทธุรกิจและสินค้าที่จำหน่าย
- ใบอนุญาตสินค้าควบคุม (ถ้ามี)
แม้บางพื้นที่อาจไม่บังคับให้มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจเพิ่มเติม แต่การมีเอกสารครบและจัดเตรียมอย่างเป็นทางการ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ขั้นตอนการขอใบอนุญาตค้าส่งของคุณได้รับการอนุมัติได้ง่ายขึ้น
5. ยื่นคำขอจดทะเบียนค้าส่งและชำระค่าธรรมเนียม
ในประเทศไทย ขั้นตอนการยื่นขอใบอนุญาตค้าส่งสามารถทำได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด (สำหรับกิจการต่างจังหวัด) หรือสำนักงานเขต/เทศบาล (สำหรับกิจการในกรุงเทพฯ) โดยต้องยื่นเอกสารที่เตรียมไว้ให้ครบ พร้อมชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน
ค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนค้าส่งอยู่ที่ประมาณ 50–200 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการและพื้นที่ที่ยื่นขอ ทั้งนี้ หากเป็นธุรกิจนิติบุคคล ควรแนบสำเนาหนังสือรับรองบริษัทและใบ ภ.พ.20 ร่วมด้วย
วัตถุประสงค์หลักของการจดทะเบียนค้าส่ง คือเพื่อให้สามารถซื้อสินค้าจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ในราคาส่งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมักจะมีราคาต่ำกว่าราคาปลีก และสามารถนำมาขายต่อเพื่อสร้างกำไรได้มากขึ้น
ธุรกิจที่มักต้องใช้ใบอนุญาตค้าส่ง ได้แก่ ธุรกิจขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ซึ่งบางกรณีสามารถซื้อสินค้าราคาส่งได้โดยไม่ต้องเสียภาษีขาย แต่ยังต้องจัดเก็บและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้ถูกต้องเมื่อนำสินค้าไปจำหน่ายต่อ
6. รออนุมัติและรับใบอนุญาตค้าส่งอย่างเป็นทางการ
หลังจากยื่นเอกสารและชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการรอการตรวจสอบและอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 3–7 วันทำการ ทั้งนี้ บางกรณีเจ้าหน้าที่อาจขอตรวจสอบสถานที่ประกอบการจริง เพื่อยืนยันว่าธุรกิจมีอยู่และดำเนินการได้ตามที่ระบุไว้
ในระหว่างรออนุมัติ ควรเตรียมเอกสารสำรองไว้เผื่อเจ้าหน้าที่ร้องขอเพิ่มเติม เช่น สัญญาเช่าสถานที่ หรือใบอนุญาตสินค้าควบคุม (ถ้ามี) เมื่อผ่านการตรวจสอบแล้ว คุณจะได้รับ ใบอนุญาตค้าส่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งสามารถใช้ประกอบธุรกิจ ซื้อสินค้าราคาส่ง และจำหน่ายต่อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เงื่อนไขวิธีจดทะเบียนค้าส่งในไทย
แม้รายละเอียดในการขอใบอนุญาตค้าส่งอาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่หรือประเภทธุรกิจ แต่โดยทั่วไป ธุรกิจที่จะได้รับการอนุมัติควรมีเอกสารและหลักฐานดังต่อไปนี้
การจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกต้อง
ต้องจดทะเบียนพาณิชย์หรือจดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) โดยเลือกประเภทนิติบุคคลที่เหมาะกับลักษณะการดำเนินธุรกิจ เช่น บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทจำกัด
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภ.พ.20)
ใช้เป็นรหัสประจำตัวของกิจการในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และออกใบกำกับภาษี หากยังไม่ได้ดำเนินการ ต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีกับกรมสรรพากร ก่อนยื่นขอใบอนุญาตค้าส่ง
ใบอนุญาตสินค้าควบคุม (ถ้ามี)
หากธุรกิจของคุณขายสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุม เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอาง หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย., กรมการค้าภายใน หรือกรมสรรพสามิต
สถานประกอบการที่ชัดเจน
ต้องมีที่อยู่ของสำนักงานหรือโกดังสินค้าจริง ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานการดำเนินธุรกิจได้ ที่อยู่กล่องไปรษณีย์จะไม่สามารถใช้ยื่นขอใบอนุญาตได้
เอกสารประกันภัยธุรกิจ (ถ้ามี)
สำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ การมีประกันภัยธุรกิจ เช่น ประกันอัคคีภัยหรือประกันสินค้าคงคลัง ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอาจจำเป็นสำหรับการอนุมัติในบางพื้นที่
แบบคำขอจดทะเบียนค้าส่งที่กรอกครบถ้วน
ต้องกรอกข้อมูลครบทุกช่อง ลงลายมือชื่อเจ้าของกิจการหรือกรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมแนบเอกสารประกอบตามที่กำหนด
การชำระค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาตค้าส่ง
โดยทั่วไปมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 50–200 บาท ต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับพื้นที่และประเภทของกิจการ
เมื่อเอกสารครบถ้วนและผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ธุรกิจของคุณก็จะได้รับใบอนุญาตค้าส่งอย่างเป็นทางการ เพื่อดำเนินการซื้อขายสินค้าราคาส่งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนค้าส่ง
ค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตค้าส่งในประเทศไทยขึ้นอยู่กับประเภทของกิจการและพื้นที่ที่จดทะเบียน โดยทั่วไป ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนค้าส่งอยู่ที่ประมาณ 50–200 บาท ต่อครั้ง หากเป็นนิติบุคคลที่ต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติม เช่น ใบอนุญาตสินค้าควบคุมหรือใบอนุญาตจากหน่วยงานเฉพาะ (เช่น อย. หรือกรมสรรพสามิต) อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาทต่อปี
ก่อนเริ่มดำเนินการ ควรตรวจสอบอัตราค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขกับ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด หรือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อประเมินต้นทุนที่แท้จริงของธุรกิจ และตั้งกำไร (margin) ให้เหมาะสมกับตลาดค้าส่ง
เราจำเป็นต้องมีใบอนุญาตค้าส่งหรือไม่?
หากคุณต้องการขายสินค้าต่อ (Resell) ไม่ว่าจะขายให้ลูกค้าทั่วไปหรือขายส่งให้กับร้านค้าอื่น การมีใบอนุญาตค้าส่ง ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยให้คุณสามารถซื้อสินค้าจำนวนมากในราคาส่งจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจเมื่อติดต่อกับคู่ค้า
ธุรกิจบางประเภทอาจต้องมี ใบอนุญาตประเภทอื่นเพิ่มเติม เช่น ใบอนุญาตค้าปลีก ใบอนุญาตจำหน่ายสินค้าเฉพาะ หรือใบอนุญาตนำเข้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการดำเนินธุรกิจและพื้นที่ประกอบการ
ใบอนุญาตขายสินค้า vs. ใบอนุญาตค้าส่ง ต่างกันยังไง
ในประเทศไทย ใบอนุญาตขายสินค้าและใบอนุญาตค้าส่งมีวัตถุประสงค์ต่างกัน
- ใบอนุญาตขายสินค้า (หรือใบทะเบียนพาณิชย์) ใช้สำหรับร้านค้าทั่วไปที่จำหน่ายสินค้าปลีกให้ผู้บริโภคโดยตรง
- ใบอนุญาตค้าส่ง ใช้สำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อสินค้าจำนวนมากเพื่อจำหน่ายต่อให้ร้านค้าอื่นหรือธุรกิจอื่น
กล่าวง่าย ๆ คือ หากคุณขายตรงให้ลูกค้าทั่วไป ต้องมีใบทะเบียนพาณิชย์ แต่หากซื้อสินค้ามาจำหน่ายต่อในรูปแบบราคาส่ง ต้องมีใบอนุญาตค้าส่งเพิ่มเติม
ความต่างของ ใบอนุญาตค้าปลีก vs. ใบอนุญาตค้าส่ง
ในระบบต่างประเทศ Reseller’s Permit (หรือที่เรียกว่าใบอนุญาตขายต่อสินค้า) จะอนุญาตให้ผู้ประกอบการซื้อสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษีการขาย เพื่อไปขายต่อให้ลูกค้าคนสุดท้าย ในประเทศไทย ระบบนี้ใกล้เคียงกับ “ใบอนุญาตค้าส่ง” เพราะผู้ค้าส่งสามารถซื้อสินค้าในราคาส่ง และโอนภาระการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไปยังขั้นตอนการขายต่อ
กล่าวอีกอย่างคือ ใบอนุญาตค้าส่งคือพื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจขายต่อในประเทศไทย ช่วยให้คุณสามารถซื้อสินค้าในราคาต้นทุนที่ถูกลง ขายต่อได้ถูกกฎหมาย และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการค้าส่งอย่างยั่งยืน
เรียนรู้วิธีจดทะเบียนค้าส่ง สำหรับธุรกิจค้าปลีกของคุณ
เมื่อคุณเข้าใจข้อดีของการมีใบอนุญาตค้าส่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมเอกสารและข้อมูลที่จำเป็นให้ครบถ้วน เพื่อใช้ยื่นขอและเริ่มต้นใช้สิทธิ์จากใบอนุญาตนี้ได้อย่างเต็มที่ เมื่อเอกสารพร้อม คุณก็สามารถเริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายธุรกิจผ่านการซื้อขายแบบขายส่ง เพิ่มปริมาณสินค้าคงคลัง และต่อยอดธุรกิจของคุณบนแพลตฟอร์ม Shopify ได้อย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีจดทะเบียนค้าส่ง
สามารถใช้บริษัทจำกัดในการซื้อสินค้าราคาส่งได้หรือไม่
ในบริบทธุรกิจไทย หากคุณจดทะเบียนบริษัทจำกัด (หรือนิติบุคคลอื่น) คุณสามารถซื้อสินค้าราคาส่งได้ แต่ซัพพลายเออร์มักต้องการดูเอกสารยืนยัน เช่น ใบอนุญาตค้าส่ง หรือใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) เพื่อให้คุณได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าในราคาส่งโดยไม่เสียภาษีซ้ำ
ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีซื้อสินค้าราคาส่งได้มั้ย
เลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ภ.พ.20) ใช้ยืนยันสถานะธุรกิจและภาระภาษีของคุณเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้แทนใบอนุญาตค้าส่งได้ หากต้องการซื้อสินค้าโดยไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากต้นทาง คุณจำเป็นต้องมีใบอนุญาตค้าส่งหรือเอกสารรับรองการขายส่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
ใบอนุญาตค้าส่งมีอายุการใช้งานกี่ปี
โดยทั่วไป ใบอนุญาตค้าส่งในประเทศไทยมีอายุ 1 ปี และต้องต่ออายุทุกปีที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดหรือสำนักงานเขตที่ออกใบอนุญาต บางพื้นที่อาจอนุญาตให้ต่ออายุทุก 2 ปี หรือยืดหยุ่นตามลักษณะกิจการ
การทำธุรกิจแบบไม่มีใบอนุญาตค้าส่ง มีข้อเสียยังไง
หากคุณดำเนินธุรกิจค้าส่งโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง อาจถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับ ซัพพลายเออร์บางรายอาจปฏิเสธการขายสินค้าให้ และหากมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานรัฐ คุณอาจถูกเพิกถอนสิทธิ์การค้าหรือถูกลงโทษทางกฎหมายได้


