กราฟแท่งแสดงรายได้จากของแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2020 ถึง 2025
ผู้ซื้อของแต่งบ้านออนไลน์ในปัจจุบันรู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร
หลังจากห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักไปสองปี ภาวะเศรษฐกิจถดถอยด้านที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และความกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่เพิ่มมากขึ้น เว็บของแต่งบ้านต้องเผชิญกับฐานลูกค้าที่ต้องการข้อเสนอที่ดีที่สุด ข้อมูลสินค้าโดยละเอียด และวิธีใหม่ๆ ในการนำเสนอสินค้าภายในบ้านของตน
นี่คือ 9 กลยุทธ์ทางการตลาดและการขายที่มีประสิทธิภาพจากเว็บของแต่งบ้าน ซึ่งประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง
9 เว็บของแต่งบ้านที่ดีที่สุด
1. Boll & Branch
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าผู้คนเลือกสินค้าจากบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้บริโภคต้องการทราบว่าสินค้าที่พวกเขาซื้อมาจากผู้ผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และเมื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ พวกเขาสามารถรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเพื่อมุ่งสู่แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน
Boll & Branch กำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่
หน้าเกี่ยวกับเราของของแต่งบ้านออนไลน์ที่มีภาพของคนใส่กำไลกำลังถือฝ้ายดิบ
ผลิตอย่างมีจริยธรรม มาจาก “แหล่งทรัพยากรที่ยั่งยืน และยึดมั่นในคุณภาพ” แบรนด์นี้สนับสนุนฟาร์มและแรงงานที่ปลูกฝ้ายที่ใช้ในสินค้าของตน ซึ่งหมายถึงการเคารพผู้คนและพืชผลที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
และไม่ใช่แค่ความยั่งยืนเท่านั้นที่ผู้บริโภคของแต่งบ้านให้ความสนใจ เพราะผลสำรวจของ Shopify พบว่า 41% ของผู้คนชอบแบรนด์ที่มีความมุ่งมั่นต่อสังคมอย่างชัดเจน โดยรวมแล้วผู้บริโภคที่ถูกสำรวจต้องการให้แบรนด์มี “การกระทำที่สอดคล้องกับค่านิยมของตน”
2. Brooklinen
Brooklinen เป็นแบรนด์โปรดของใครหลายคนที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าปูที่นอนเนื้อนุ่มสบายและระบายอากาศได้ดี หากชื่อแบรนด์นี้ฟังดูคุ้นหู ก็เป็นเพราะบริษัทเว็บของแต่งบ้านแห่งนี้ถูกกล่าวถึงในบทความสื่อต่างๆ มากมายด้วยราคาที่ดึงดูดใจ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Brooklinen ได้สร้างความนิยมในโลกออนไลน์ด้วยการผสมผสานระหว่างการรายงานที่ได้รับและการสนับสนุนจากสื่อ และไม่เพียงแต่จากสำนักพิมพ์สินค้าตกแต่งบ้านอย่าง Good Housekeeping และ Home Textiles Today แต่ยังปรากฏบนเว็บไซต์ธุรกิจและเทคโนโลยีเช่น Fast Company, Business Insider และอื่นๆ เป็นประจำ
Brooklinen ได้รับการนำเสนออย่างครอบคลุมโดยมุ่งเน้นไปที่
- รีวิวจากลูกค้า คะแนน และเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้
- ความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับที่นอนในหัวข้อต่างๆ เช่น จำนวนด้าย
- การคลี่คลายความลึกลับเหล่านั้นผ่านวิทยาศาสตร์การนอน
ในเว็บของแต่งบ้านของพวกเขา พวกเขาอธิบายความซับซ้อนในการทำผ้าปูที่นอนที่ดีที่สุด รวมถึงหมอน ผ้าห่ม และผ้าเช็ดตัว วิธีนี้ได้ผลดีเพราะการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้สามารถมองเห็น หรือจับต้อง ทำให้ได้รับทั้งความไว้วางใจจากลูกค้าและผู้ติดตามที่ภักดีและสร้างกำไร

ภาพและข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนด้าย รวมถึงภาพประกอบของความหนาของเส้นด้าย
3. Arhaus
ส่วนสำคัญที่ช่วยให้เว็บของแต่งบ้าน Arhaus พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด คือการตัดสินใจย้ายจากแพลตฟอร์มแบบ custom มาสู่ Shopify ซึ่งเป็นก้าวกลยุทธ์สำคัญที่เกิดจากความต้องการเรื่อง “การเชื่อมต่อระบบ” และ “การขยายขนาดธุรกิจ” ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
Steve Bauer รองประธานอาวุโสฝ่ายอีคอมเมิร์ซและดิจิทัลของ Arhaus อธิบายว่าการเปลี่ยนมาใช้ Shopify ช่วยให้แบรนด์สามารถรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่คาดหวังประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อทั้งออนไลน์และในร้าน
“Unified commerce” คือรากฐานของระสบการณ์ลูกค้าของ Arhaus ไม่ว่าจะเป็นคนที่ขับรถผ่านหน้าร้าน หรือกำลังเลือกชมสินค้าบนเว็บไซต์ เป้าหมายของแบรนด์คือมอบความรู้สึกอบอุ่นและสบายแบบเดียวกัน ซึ่งสามารถสัมผัสได้ทันทีตั้งแต่หน้าโฮมเพจของ Arhaus

- โทนสีอบอุ่นที่ใช้ในเว็บไซต์ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าดึงดูดใจ
- ดีเทลลายดอกไม้และข้อความบนหน้าเว็บสื่อถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติและความสงบอย่างลงตัว
- ตั้งแต่กระถางต้นไม้ไปจนถึงพื้นหลัง ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบให้มีความกลมกลืนกันอย่างสวยงาม
แนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดไปทั่วทั้งเว็บไซต์ ทำให้เว็บของแต่งบ้าน Arhaus ดูหรูหราแต่ยังคงความอบอุ่น เป็นพื้นที่ที่แบรนด์สามารถเล่าเรื่องราวของตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ และหากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ผู้เยี่ยมชมสามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบหรือจองนัดหมายออนไลน์ได้ผ่านหน้าต่างแชท

Shopify ยังช่วยให้ Arhaus ใช้ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซขั้นสูงอย่าง AR/VR เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้าในพื้นที่ของตนเองได้
ด้วยเครื่องมือ 3D Room Planner ของ Arhaus ลูกค้าสามารถอัปโหลดรูปภาพห้องของตัวเอง แล้วลองวางของแต่งบ้านลงไปในภาพ เพื่อดูมุมมองและจัดตกแต่งได้แบบอินเทอร์แอ็กทีฟ พร้อมกดช้อปสินค้าที่ต้องการได้ทันที

ในตลาดเว็บของแต่งบ้านระดับพรีเมียมที่ “ประสบการณ์ลูกค้า” และ “การปรับแต่งสินค้าเฉพาะบุคคล” คือหัวใจสำคัญ Arhaus มีเครื่องมือครบครันสำหรับการเติบโตระยะยาวและการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
4. Lulu and Georgia
เว็บของแต่งบ้าน Lulu and Georgia เป็นธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งโดย Sara Sugarman ในปี 2012 เธอเติบโตมากับผู้บุกเบิกในวงการออกแบบตกแต่งภายใน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะสร้างแบรนด์ตกแต่งบ้านของตัวเอง
สินค้าของ Lulu and Georgia เป็นสินค้าคุณภาพเยี่ยม แบรนด์ร่วมมือกับศิลปินและนักออกแบบท้องถิ่นเพื่อนำเสนอดีไซน์สุดพิเศษ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความแตกต่างให้กับกลุ่มสินค้าเท่านั้น แต่ยังดึงดูดรสนิยมของลูกค้าที่หลากหลายอีกด้วย
หลังจากย้ายข้อมูลสินค้ากว่า 40,000 SKU จาก Adobe Commerce (หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Magento) มายัง Shopify ซึ่งช่วยแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพได้อย่างเห็นผล Lulu and Georgia ก็สามารถรองรับปริมาณทราฟฟิกและการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นได้อย่างราบรื่น
เว็บไซต์ใหม่นี้ยังมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ใช้งานง่ายสุด ๆ ลูกค้าสามารถใช้ฟิลเตอร์และตัวเลือกการค้นหาหลากหลาย เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ภายในไม่กี่วินาที

การร่วมมือกับ Shopify ยังเปิดโอกาสให้เว็บของแต่งบ้าน Lulu and Georgia ได้ทดลองและพัฒนาแนวทางใหม่ๆ อย่างเต็มที่
- ด้วยระบบ API และ แอปอีโคซิสเต็มของ Shopify แบรนด์สามารถทำให้งานหลังบ้านเป็นอัตโนมัติและปรับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- นอกจากนี้ยังสามารถนำนวัตกรรม เทคโนโลยี 3D มาใช้ เพื่อช่วยให้ลูกค้ามองเห็นภาพสินค้าชัดเจนและสมจริงยิ่งขึ้น
- และด้วย ฟีเจอร์ B2B แบบเนทีฟของ Shopify Lulu and Georgia จึงสามารถบริหารยอดขายทั้งแบบ DTC และขายส่งได้จากที่เดียว
5. Ruggable
Ruggable เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในวงการพรม ด้วยแนวคิดที่พลิกวงการโดยการสร้างระบบพรมแบบสองชิ้น ที่สามารถซักด้วยเครื่องได้ ทนทาน และป้องกันการเลอะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ปัญหาด้านการดูแลรักษาและสุขอนามัยของพรมได้อย่างตรงจุด
ในปี 2023 แบรนด์ได้เปิดตัวเว็บของแต่งบ้านแบบ Headless ร่วมกับ Shopify เพื่อเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์และอัตรา conversion
Daniel Graupensperger ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการสินค้าของ Ruggable กล่าวไว้ว่า
“เว็บไซต์ของเราทำงานได้เร็วขึ้นมาก ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และสิ่งนี้ส่งผลโดยตรงต่อ conversion และ SEO ที่ Google มองว่าเว็บของเรามีความเร็วสูงขึ้นมาก และส่งทราฟฟิกมาให้มากกว่าเดิม ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
เว็บไซต์ของ Ruggable ยังออกแบบมาเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านเครื่องมืออย่าง Rug Quiz ที่ช่วยให้ลูกค้าเลือกพรมที่ตรงกับสไตล์และความต้องการของตนได้ง่ายขึ้น ทำให้ประสบการณ์ช้อปปิ้งเป็นแบบเฉพาะตัวและสนุกกว่าเดิม

Ruggable ยังปรับขั้นตอนการชำระเงินให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยลดจำนวนหน้าชำระเงินจาก 3 หน้าเหลือเพียงหน้าเดียวเท่านั้น
ทุกการทำรายการบนเว็บไซต์ใช้ผ่าน Shop Pay ซึ่งช่วยให้ลูกค้าชำระเงินได้อย่างปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถแบ่งจ่ายยอดซื้อออกเป็นงวด ๆ ได้ด้วยฟีเจอร์ Shop Pay Installments ทำให้การช้อปปิ้งกับ Ruggable ทั้งสะดวก คล่องตัว และตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม

Ruggable ยังนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าอีกขั้น ลูกค้าสามารถอัปโหลดภาพห้องของตนเอง แล้วระบบ AI ของ Ruggable จะวิเคราะห์สไตล์ สีสัน และของแต่งบ้านในภาพ จากนั้นจะแนะนำพรมที่เข้ากับพื้นที่นั้นได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ด้วยระบบ Headless commerce ของ Ruggable สามารถปรับประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละคนได้แบบไดนามิก โดยที่หน้าเว็บสามารถดึงข้อเสนอและคอนเทนต์จากระบบหลังบ้านมานำเสนอได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ หากต้องการอ่านรายละเอียดทั้งหมด อ่านเรื่องราวทั้งหมดของ Ruggable
6. Cozykids
Cozykids เป็นแหล่งรวมสินค้าสำหรับเด็กและทารกแบบครบวงจร ตั้งแต่ของแต่งบ้านคุณภาพสูง ของตกแต่ง ไปจนถึงของเล่น แบรนด์นี้เปิดตัวในปี 2016 และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศกรีซ ก่อนจะเริ่มขยายตลาดสู่ระดับสากล
หลังจากย้ายมาใช้ Shopify เว็บของแต่งบ้าน Cozykids สามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องประสิทธิภาพของเว็บไซต์หรือประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า ทั้งหมดนี้เกิดจากโครงสร้างระบบที่แข็งแกร่งของแพลตฟอร์ม Shopify
เว็บของแต่งบ้าน Cozykids ใช้ระบบ automation จัดการสต็อกสินค้าที่ลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแจ้งเตือนและการมีส่วนร่วมกับลูกค้าเมื่อสินค้าหมด รวมถึงทำการตลาดแบบอัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับการขยายแบรนด์และการสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

เพื่อฉลองครบรอบครบรอบ 50 ปีแห่งการลงจอดบนดวงจันทร์ Cozykids ได้เปลี่ยนเว็บไซต์ของตนให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ธีมอวกาศสุดสร้างสรรค์ โดยใช้เครื่องมือ Launchpad เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าในรูปแบบใหม่ ผลลัพธ์คือไม่เพียงเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มทราฟฟิกและรายได้ของเว็บไซต์ได้อย่างมากในช่วงเวลาที่ปกติยอดขายมักชะลอตัว
Cozykids ยังใช้ Shopify Flow เพื่อเปิดให้ลูกค้าสามารถสั่งจองล่วงหน้าสำหรับสินค้าที่หมดสต็อก และส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อสินค้ากลับมาในสต็อกอีกครั้ง
Panos Voulgaris ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Cozykids กล่าวว่า
“ปกติแล้วการจัดการสต็อกต้องใช้แรงงานคน แต่เมื่อเราใช้ Shopify POS ร่วมกับ Flow มันช่วยลดเวลาทำงานได้อย่างมหาศาล และขจัดข้อผิดพลาดจากคนได้หมดสิ้น เมื่อต้องจัดการแคตตาล็อกสินค้ากว่า 6,000–7,000 รายการ เครื่องมือนี้ช่วยเราได้มากจริง ๆ — Flow ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก”
7. Snug
อีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรงในวงการเว็บของแต่งบ้านคือการให้คำปรึกษาแบบเสมือนจริงผ่าน AI chatbot และผู้เชี่ยวชาญตัวจริง ซึ่งแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น
Snug ซึ่งเป็นที่รู้จักจากโซฟาแบบ modular sofa-in-a-box ที่ประกอบง่ายและขนส่งสะดวก มองเห็นความท้าทายในการขายสินค้าให้กับลูกค้าที่คุ้นชินกับการลองสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของแต่งบ้านอย่างที่นอนหรือโซฟา
เพื่อตอบโจทย์นั้น Snug จึงเปิดตัว โชว์รูมเสมือนจริงและให้ลูกค้าสามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำแบบส่วนตัวได้ ทำให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์มีความใกล้เคียงกับการเยี่ยมชมหน้าร้านจริงมากขึ้น

ลูกค้าสามารถจองเวลานัดหมายและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ประมาณ 15 นาที เกี่ยวกับสินค้าที่สนใจโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
หากลูกค้าตัดสินใจซื้อ ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าให้โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินการชำระเงินต่อได้เอง
ด้วยการใช้ Shopify, Gorgias, ConferWith และแอปพลิเคชันแบบ custom เว็บของแต่งบ้าน Snug สามารถจัดกิจกรรม live shopping บนโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์นี้ช่วยให้แบรนด์เพิ่มค่าเฉลี่ยการสั่งซื้อ (Average Order Value) ได้สูงขึ้นถึง 25%
8. Jungalow
Jungalow เริ่มต้นจากบล็อกส่วนตัวของ Justina Blakeney นักเขียนและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังผู้มีสไตล์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากบล็อกเล็ก ๆ สู่เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบ เธอใช้พลังของแบรนด์ส่วนตัวและวิสัยทัศน์ด้านงานดีไซน์ มาสร้างธุรกิจที่โดดเด่นแตกต่าง ทั้งในแง่ของสินค้าและสไตล์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของเธออย่างชัดเจน

ความสวยงามของเว็บของแต่งบ้านเป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมตกแต่งบ้าน Jungalow ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันให้สะท้อนเอกลักษณ์ของ Blakeney ที่มีกลิ่นอายแบบ Bohemian ผสมผสานกับความอบอุ่นแบบ Rustic ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มสำหรับช้อปปิ้งเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าชมอีกด้วย
หนึ่งในเป้าหมายหลักของเว็บของแต่งบ้าน Jungalow คือการทำให้การช้อปปิ้งง่ายและสนุกสำหรับทุกคน นั่นจึงเป็นที่มาของโปรแกรมสมาชิก JungaLoco ที่มอบรางวัลให้กับลูกค้าประจำ ซึ่งหลายคนติดตาม Blakeney มาตั้งแต่สมัยเริ่มเขียนบล็อก สมาชิกยังสามารถโพสต์ รีวิวพร้อมภาพถ่ายภายในคลับได้ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นยอดขายได้อย่างเห็นผล

ตั้งแต่ย้ายมาใช้ Shopify ยอดขายออนไลน์ของ Jungalow คิดเป็นเกือบ 60% ของยอดขายทั้งหมด แม้ว่าแบรนด์จะยังมีพาร์ตเนอร์ด้านการขายปลีกกับแบรนด์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Target ก็ตาม
9. Industry West
Industry West เป็นแบรนด์ของแต่งบ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพระดับพรีเมียม ดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก แต่ยังคงราคาที่เข้าถึงได้
ล่าสุดแบรนด์ได้เปิดตัวเว็บของแต่งบ้านโฉมใหม่บน Shopify ที่สะท้อนความประณีตและรสนิยมของสินค้าได้อย่างลงตัว เว็บของแต่งบ้านที่เน้นงานดีไซน์นี้จัดแสดงสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่โซฟาทรงยาวไปจนถึงสตูลขนาดเล็ก โดยยังคงเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละชิ้นไว้อย่างครบถ้วน

ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ Industry West ให้ความสำคัญกับคลังภาพขนาดใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าแต่ละชิ้นจะโดดเด่นด้วยอัตราส่วนภาพที่เป็นเอกลักษณ์ ความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการนำเสนองานฝีมือนั้นเห็นได้ชัดจากแกลเลอรีสินค้าที่ขยายใหญ่ขึ้นและฟีเจอร์ซูมที่ปรับปรุงใหม่ในหน้ารายละเอียดสินค้า ลูกค้าสามารถดื่มด่ำกับรายละเอียดอันซับซ้อนของแต่ละชิ้น พร้อมชื่นชมคุณภาพและศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของ Industry West สิ่งนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับสินค้าได้อย่างง่ายดายและสัมผัสถึงคุณภาพโดยไม่ต้องเดินเข้าไปในโชว์รูม
Jordan England ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Industry West มองว่าเว็บของแต่งบ้านใหม่นี้คือ “ประตูสู่อนาคตของการขายของแต่งบ้านออนไลน์” โดยการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าและการนำเสนอสินค้าที่ชัดเจน แบรนด์ตั้งใจเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับดีไซน์และคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งบ้าน โครงการ หรือธุรกิจ
ในอนาคต Industry West จะมุ่งพัฒนา ประสบการณ์ซื้อขายแบบ Trade และ B2B ให้สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการปรับปรุงกระบวนการและการเข้าถึงข้อมูลสำคัญอย่างรวดเร็ว แบรนด์ยังคงเดินหน้าสร้างมาตรฐานใหม่ในวงการอีคอมเมิร์ซของแต่งบ้าน โดยคงไว้ซึ่งคุณภาพ นวัตกรรม และความพึงพอใจของลูกค้าในทุกมิติของการนำเสนอออนไลน์
💡ชมเว็บของแต่งบ้านตัวอย่างของพวกเขาได้ที่นี่
แนวทางการทำเว็บของแต่งบ้านให้ประสบความสำเร็จ
ต่อไปนี้คือ 7 เทคนิคที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ช้อปออนไลน์
ทำให้ “การซื้อ” ง่ายที่สุด
จากการสำรวจผู้บริโภคในสหรัฐฯ กว่า 48% ระบุว่า “ความง่ายในการสั่งซื้อ” คือเหตุผลหลักที่เลือกซื้อของจากเว็บของแต่งบ้านออนไลน์ ดังนั้น เว็บไซต์ควรออกแบบให้ลูกค้าชำระเงินได้อย่างสะดวกในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะใช้งานผ่าน เดสก์ท็อป แท็บเล็ต หรือมือถือ ต้องสามารถเข้าถึงสินค้าและสั่งซื้อได้อย่างราบรื่นในทุกจุดของการช้อปปิ้ง
ใช้กลยุทธ์ Unified Commerce
ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าผ่านช่องทางเดียวอีกต่อไป รายงานจาก Salsify พบว่าลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับช่องทางอย่างน้อย 11 ช่องทางก่อนที่จะซื้อสินค้าใดๆ นั่นหมายความว่าคุณต้องอยู่ทุกที่พร้อมๆ กัน พร้อมที่จะดึงดูดลูกค้าด้วยบริการที่เป็นมิตร
กลยุทธ์ Unified Commerce จะช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและตรงใจสำหรับลูกค้าทุกคน ส่งผลให้แบรนด์มีลูกค้าที่ภักดีมากขึ้น เพิ่มอัตรา conversion และสร้างความสำเร็จของเว็บของแต่งบ้านในระยะยาว แพลตฟอร์มอย่าง Shopify มีระบบการตลาดแบบครบวงจร ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่พวกเขาใช้งานจริง
อัปเกรดโชว์รูมออนไลน์ของคุณ
ลูกค้าไม่สามารถสัมผัสสินค้าจริงได้เหมือนในร้าน เช่น ความนุ่มของโซฟาหรือพื้นผิวไม้ของโต๊ะ ดังนั้น เว็บของแต่งบ้านควรนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า และแสดงให้เห็นว่ามันจะเข้ากับสไตล์ของบ้านอย่างไร
อาจทำได้โดยการสร้าง แมกกาซีนรายไตรมาส หรือ lookbook รวมถึงโชว์ภาพถ่ายและวิดีโอจากลูกค้าจริง หรือใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าภายในพื้นที่ของตัวเองแบบสมจริง
ขายผ่านโซเชียลมีเดีย
Social commerce ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่
-
Gen Z ใช้ TikTok เพื่อค้นพบสินค้าใหม่ ๆ และ YouTube เพื่อศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
- 94% ของผู้บริโภครุ่นมิลเลนเนียล และ 69% ของ Gen Z เคยซื้อสินค้าที่เห็นจากโซเชียลมีเดีย
Shopify มีการเชื่อมต่อโดยตรงกับแพลตฟอร์มยอดนิยมผ่าน Shopify App Store เช่น
- Facebook / Instagram: แท็กสินค้าตรงในโพสต์และสตอรี่
-
Pinterest: สร้าง Buyable Pins ให้ลูกค้าซื้อได้โดยไม่ต้องออกจากแอป
- TikTok: ลงโฆษณาแบบช้อปได้ทันที (Shoppable Ads) ที่ลิงก์กลับมาที่ร้านของคุณ
สร้างความยั่งยืน หรือเลือกสนับสนุนโครงการที่มีความหมาย
ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีค่านิยมเหมือนตนเอง การซื้อสินค้าที่ผลิตอย่างมีจริยธรรมและยั่งยืนให้ความรู้สึกดีกว่าการได้ราคาถูกที่สุด
เลือกสนับสนุนโครงการที่สอดคล้องกับธุรกิจของคุณและแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม หลีกเลี่ยงการทำ “greenwashing” ที่ทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เสียหาย
ใช้เว็บไซต์ขายแบบ B2B
เส้นแบ่งระหว่าง B2B และ DTC (Direct-to-Consumer) กำลังหายไป แบรนด์ของแต่งบ้านสามารถขายได้ทั้งลูกค้าทั่วไป ร้านค้า หรือดีไซเนอร์ ผ่านร้านออนไลน์เดียวกัน
ตัวอย่างเช่น TileCloud ร้านขายกระเบื้องจากออสเตรเลีย ที่เปิดให้ลูกค้า B2B เข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมส่วนลดพิเศษ ส่งผลให้ มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 34% และ จำนวนลูกค้า B2B ใหม่เพิ่มขึ้น 24%
รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่าน Loyalty Program
อีคอมเมิร์ซช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรงทุกที่ทั่วโลกผ่านเว็บของแต่งบ้าน ใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเสนอราคาที่คุ้มค่าผ่านช่องทางของคุณเอง จากนั้นเปลี่ยนลูกค้าเหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าประจำ ด้วยโปรแกรมสะสมแต้มที่สมัครง่ายและให้รางวัลกับทั้งการซื้อและการมีส่วนร่วม เช่น รีวิว แชร์ หรือแนะนำเพื่อน
ใช้ Affiliate Marketing
แม้ว่าช่องทางหลักอย่าง social media, display ads, และ search ads ยังมีประสิทธิภาพดีสำหรับเว็บของแต่งบ้าน แต่การทำ affiliate marketing หรือ influencer marketing ก็กำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญอีกหนึ่งอย่าง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ Shopify ที่มีผู้ซื้อกว่า 875 ล้านคนทั่วโลก พบว่า ช่องทาง affiliate เป็นหนึ่งในช่องทางที่ให้ผลลัพธ์สูงสุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมของแต่งบ้าน
นั่นเพราะผู้บริโภคยุคนี้ยังคงติดตามโซเชียลมีเดีย แต่มีแนวโน้มที่จะ “เชื่อ” คำแนะนำจากผู้สร้างคอนเทนต์หรือพันธมิตรทางการตลาดมากกว่า ทำให้ affiliate marketing กลายเป็นเครื่องมือที่ทั้งมีประสิทธิภาพและให้ความรู้สึกจริงใจมากกว่าโฆษณาทั่วไป
สรุปแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับเว็บของแต่งบ้านที่ดีที่สุด
ลูกค้าต้องการความภักดีต่อแบรนด์ แต่สิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญมากกว่านั้นคือ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง Augmented Reality (AR) มาใช้ พัฒนาจุดแข็งจากหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ หรือการเข้าร่วมบทสนทนาในโซเชียลมีเดีย สิ่งสำคัญคือการโฟกัสในจุดที่แบรนด์ทำได้ดีที่สุด แล้วเดินหน้าต่อโดยไม่หันกลับ
จงทำสิ่งหนึ่งให้ดีกว่าคนอื่น แล้วคุณจะเห็นธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดาวน์โหลดรายงาน Shopify Furniture Report เพื่อเรียนรู้เทรนด์ล่าสุดของอุตสาหกรรมของแต่งบ้านออนไลน์
เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและอินไซต์ที่จะช่วยให้เข้าใจว่าบรรดาแบรนด์ชั้นนำใช้กลยุทธ์ใดในการขับเคลื่อนการเติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเว็บของแต่งบ้าน
ใครคือผู้ค้าปลีกของแต่งบ้านออนไลน์รายใหญ่ที่สุด
Wayfair และ Overstock คือเว็บของแต่งบ้านค้าปลีกของแต่งบ้านออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ด้วยสินค้าที่มีให้เลือกหลากหลายหมวดหมู่และสไตล์ ครอบคลุมทุกความชอบและงบประมาณของลูกค้า
เว็บของแต่งบ้านคืออะไร
เว็บของแต่งบ้าน หมายถึง การขายของแต่งบ้านผ่านร้านค้าออนไลน์หรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ลูกค้าสามารถเลือกชมสินค้า เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อได้โดยไม่ต้องไปที่หน้าร้านจริง ความสะดวกในการช้อปออนไลน์และการเข้าถึงสินค้าหลากหลายจากทุกที่ในโลก คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว
Shopify เหมาะกับธุรกิจของแต่งบ้านหรือไม่
แน่นอนว่าเหมาะ เพราะ Shopify เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเปิดร้านค้าออนไลน์และขายสินค้าของแต่งบ้านได้โดยตรงทั้งแบบ B2C และ B2B Shopify ยังมีระบบ POS (Point of Sale) ที่ช่วยให้ร้านของแต่งบ้านที่มีหน้าร้านจริงสามารถเชื่อมการขายทุกช่องทางเข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านเล็กที่ทำงานฝีมือ หรือร้านใหญ่ที่มีคลังสินค้าหลายแห่ง Shopify ก็มีเครื่องมือครบครันสำหรับจัดการสต็อก ทำการตลาด และเพิ่มยอดขายได้อย่างมืออาชีพ


