คุณเคยจินตนาการถึงการเปลี่ยนแพชชั่นของตัวเองให้กลายเป็นร้านขายของที่เต็มไปด้วยผู้คนไหม การเดินทางจากไอเดียธุรกิจไปจนถึงวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการนั้นมีหลายขั้นตอน ทั้งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การออกแบบอย่างสร้างสรรค์ และการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ
คู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทุกสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวิธีเปิดร้านขายของตั้งแต่ค่าใช้จ่ายและขั้นตอนการจดทะเบียน ไปจนถึงเคล็ดลับในการดึงดูดลูกค้ากลุ่มแรกของคุณ
15 วิธีเปิดร้านขายของตามขั้นตอนอย่างโปร
- เลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- เขียนแผนธุรกิจ
- ลงทะเบียนธุรกิจของคุณ
- ขอใบอนุญาตและประกันภัย
- เรียนรู้เกี่ยวกับภาษีและการบัญชี
- สำรวจทำเลขายของ
- ออกแบบแผนผังร้านของคุณ
- หาซัพพลายเออร์
- จ้างพนักงานขายของ
- เลือกระบบชำระเงิน
- ใช้ระบบจัดการสินค้าคงคลัง
- สร้างแบรนด์ขายของของคุณ
- วางแผนการดำเนินงานของร้าน
- โปรโมตร้านขายของของคุณ
- ขยายธุรกิจออนไลน์ของคุณ
1. เลือกกลุ่มเป้าหมายของคุณ
คุณจะโฟกัสกับอะไรเป็นหลัก เมื่อเริ่มเปิดร้านขายของใหม่ๆ หลายคนมักอยากขายทุกอย่างเท่าที่จะขายได้ แต่ในความเป็นจริง เวลาและทรัพยากรของคุณมีจำกัด จึงควรใช้ให้คุ้มค่าที่สุด
วิธีเปิดร้านขายของขั้นตอนแรกคือการเริ่มจากการตัดสินใจว่าจะขายสินค้าประเภทไหน และขายให้กับกลุ่มลูกค้าแบบใด จากนั้นค่อยลงลึกในรายละเอียด
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้ขั้นตอนนี้ง่ายขึ้น
- คิดถึงสิ่งที่คุณรัก: การขายสินค้าจะง่ายขึ้นมากถ้าคุณเชื่อมั่นในคุณค่าของสินค้านั้นจริงๆ และมีความหลงใหลในมัน ลองเริ่มหานิชมาร์เก็ตจากสิ่งที่คุณสนใจมากที่สุด
- มองหาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น: ทุกอุตสาหกรรมค้าปลีกมีอุปสรรคและความท้าทายของตัวเอง ลองคิดดูว่าในตลาดที่คุณอยากเข้ามีความเสี่ยงอะไรบ้าง และคุณมีโอกาสรับมือกับมันได้มากน้อยแค่ไหนก่อนตัดสินใจ
- วิเคราะห์โอกาสทำกำไร: แม้คุณจะรักสินค้าของตัวเองมากแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือต้องมั่นใจว่าผู้บริโภคก็ต้องรักมันด้วย ลองดูว่ามีคู่แข่งในตลาดไหม ถ้าไม่มี ทำไมถึงไม่มี ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีความต้องการในตลาดและมีศักยภาพในการทำกำไร
- ประเมินคู่แข่ง: ศึกษาคู่แข่งอย่างละเอียด ทั้งสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีและสิ่งที่พลาดไป ดูกลยุทธ์ด้านการตลาด การขาย บริการลูกค้า และจุดอื่นๆ ที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ จากนั้นนำสิ่งที่ดีที่สุดมาปรับใช้ พร้อมพัฒนาในส่วนที่พวกเขายังทำได้ไม่ดีนัก
2. เขียนแผนธุรกิจ
ขั้นตอนต่อมาของวิธีเปิดร้านขายของคือการกำหนดแผนการ โดยเหตุผลหลักที่คุณควรเขียนแผนธุรกิจคือเพื่อนำไปใช้ขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะลงทุนด้วยเงินของตัวเอง แผนธุรกิจก็ยังช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงช่วยระบุความต้องการของธุรกิจที่คุณอาจยังไม่เคยนึกถึงมาก่อน
แผนธุรกิจร้านขายของอาจมีความละเอียดแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปควรมีข้อมูลสำคัญดังนี้
- ชื่อและคำอธิบายธุรกิจ
- สรุปรายละเอียดภาพรวมธุรกิจ
- โครงสร้างธุรกิจ
- สินค้าและบริการ
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
- การวิจัยตลาดและกลยุทธ์ทางการตลาด
- การคาดการณ์กระแสเงินสดและต้นทุนเริ่มต้น
- รายละเอียดด้านโลจิสติกส์และการผลิต
- ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้กู้หรือทุนสนับสนุนที่ได้รับ
หากคุณรู้สึกว่าขั้นตอนทั้งหมดนี้ดูซับซ้อนและไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ลองใช้แบบฟอร์มแผนธุรกิจนี้เป็นแนวทางในการเริ่มต้นก็ได้
3. ลงทะเบียนธุรกิจของคุณ
ขั้นตอนถัดไปของวิธีเปิดร้านขายของคือการลงทะเบียนธุรกิจ สำหรับสเต็ปนี้ คุณจะต้องเลือกรูปแบบองค์กรธุรกิจของคุณ โครงสร้างธุรกิจของคุณจะกำหนดวิธีการเก็บภาษี วิธีการจัดหาเงินทุน ความรับผิดชอบ รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ
โครงสร้างธุรกิจแต่ละประเภทมีผลกระทบที่แตกต่างกันในเรื่องภาษี ความเป็นเจ้าของ ความรับผิดชอบ การจัดหาเงินทุน และการดำเนินงานด้านอื่นๆ
มีรูปแบบองค์กรธุรกิจ 5 แบบในประเทศไทย ได้แก่
- ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด
- บริษัทมหาชนจำกัด
- กิจการร้านค้าเจ้าของคนเดียว
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ
โปรดศึกษาแต่ละตัวเลือกให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ การเปลี่ยนรูปแบบองค์กรสามารถทำได้ แต่อาจจะยุ่งยาก จากนั้นจึงลงทะเบียนธุรกิจของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
4. ขอใบอนุญาตและประกันภัย
สำหรับร้านค้าปลีกแบบออฟไลน์แทบทุกร้าน คุณจะต้องจดทะเบียนพาณิชย์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
นอกจากนี้ หากคุณวางแผนจะขายสินค้าควบคุมบางประเภท เช่น ยา แอลกอฮอล์ สัตว์มีชีวิต และอาวุธปืน คุณจะต้องขอใบอนุญาตเฉพาะทางเพิ่มเติมสำหรับสินค้าเหล่านั้นด้วย
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ตั้งของร้าน คุณอาจต้องขอใบอนุญาตเพิ่มเติมสำหรับร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้าน เช่น
- ใบอนุญาตการใช้พื้นที่: พื้นที่บางแห่งมีกฎระเบียบจำกัดประเภทของธุรกิจที่สามารถเปิดดำเนินการได้ในบางโซน
- ใบอนุญาตสุขาภิบาล: หากคุณมีการจัดการหรือจำหน่ายอาหาร จะต้องมีใบอนุญาตด้านสุขาภิบาล
- ใบอนุญาตสิ่งแวดล้อม: หากธุรกิจของคุณอาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศหรือทางน้ำ จำเป็นต้องขอใบอนุญาตควบคุมมลพิษ
- ใบอนุญาตติดตั้งป้าย: หน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งกำหนดให้ธุรกิจต้องยื่นขออนุญาตก่อนติดตั้งป้ายโฆษณาหรือป้ายชื่อร้านในพื้นที่สาธารณะ
5. เรียนรู้เกี่ยวกับภาษีและการบัญชี
กฎเกณฑ์ด้านภาษีจะแตกต่างกันไปตามลักษณะธุรกิจของคุณ ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจของคุณจดทะเบียนที่ไหน ดำเนินการที่ไหน และโครงสร้างทางกฎหมาย เป็นต้น
คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ในเว็บไซต์กรมสรรพากร
6. สำรวจทำเลขายของ
เมื่อคุณเริ่มขอใบอนุญาตที่จำเป็นต่างๆ แล้ว วิธีเปิดร้านขายของขั้นตอนต่อไปคือการมองหาทำเลเชิงพาณิชย์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับร้านของคุณ
การเข้าใจลักษณะประชากรของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกทำเล หากคุณขายอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับนักเรียน ตัวอย่างเช่น ก็คงไม่เหมาะที่จะเปิดร้านอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัยเกิน 10 ไมล์
นอกจากนี้ ควรมองหาทำเลที่มีปัจจัยสำคัญ 6 ข้อ หรือที่เรียกว่า VPASTA ได้แก่
- Visibility (การมองเห็น): ร้านของคุณควรอยู่ในจุดที่ผู้คนมองเห็นได้ง่าย
- Parking (ที่จอดรถ): มีพื้นที่เพียงพอสำหรับลูกค้าจอดรถอย่างสะดวก
- Accessibility (การเข้าถึง): เดินทางมาถึงร้านได้ง่าย ทั้งสำหรับคนเดินเท้าและผู้ขับรถ
- Signage (ป้ายร้าน): มีพื้นที่ให้ติดตั้งป้ายร้านที่สังเกตเห็นได้ชัด
- Traffic (การสัญจร): มีการจราจรหรือลูกค้าผ่านไปมามากพอ
- Activity (ความคึกคักของพื้นที่): บริเวณรอบร้านมีธุรกิจอื่นหรือกิจกรรมที่ช่วยดึงดูดผู้คน
อย่าลืมพิจารณาขนาดและพื้นที่เก็บสินค้า หนึ่งในความแตกต่างสำคัญระหว่างร้านค้าออนไลน์กับร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้าน คือคุณต้องคำนึงถึงขนาดพื้นที่ร้านว่าคุณมีพื้นที่เพียงพอสำหรับสต็อกสินค้า การจัดวางสินค้า พื้นที่ให้ลูกค้าเดินเลือกซื้อ และเคาน์เตอร์ชำระเงินหรือไม่
หากเช่าพื้นที่ใหญ่เกินไป คุณจะต้องจ่ายค่าเช่าสูงขึ้นต่อพื้นที่ และร้านอาจดูโล่งเกินไป การเลือกขนาดพื้นที่ร้านที่ “พอดี” จึงเป็นเรื่องของความสมดุล หากยังไม่แน่ใจ อาจเริ่มจากการเปิดร้านป๊อปอัปก่อนเพื่อทดสอบตลาด
7. ออกแบบแผนผังร้านของคุณ
ลองคิดดูว่าคุณอยากให้ลูกค้าเห็นอะไรเป็นอย่างแรก อะไรที่จะดึงดูดให้พวกเขาอยากเดินเข้ามาในร้านได้มากที่สุด หน้าร้านที่มีการจัดตกแต่งสวยงามดึงดูดสายตาคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
เมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านแล้ว ควรทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจด้วยการจัดเลย์เอาต์ที่น่าดึงดูด ลองคิดดูว่าการจัดวางสินค้าแบบไหนจะสะดุดตาลูกค้ามากที่สุด แต่ละสินค้าเหมาะจะวางตรงไหน มีสินค้าบางอย่างไหมที่ควรวางใกล้จุดชำระเงินเพราะมีแนวโน้มที่ลูกค้าจะหยิบเพิ่มใส่ตะกร้า
อย่าลืมคำนึงถึงจุดชำระเงินหรือเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ถ้ามีพื้นที่สำหรับจัดแสดงสินค้าตรงจุดนี้ ควรเลือกว่าจะวางสินค้าแบบใด และทำอย่างไรให้มันโดดเด่นสะดุดตา ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการชำระเงินเป็นไปอย่างราบรื่น และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดคิวรอนานเกินไป
วิธีเปิดร้านขายของข้อนี้มีสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือ ร้านของคุณควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วีลแชร์ พ่อแม่ที่เข็นรถเข็นเด็ก หรือผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว ควรคำนึงถึงระยะห่างของทางเดิน ความสูงของเคาน์เตอร์หรือเครื่องคิดเงิน รวมถึงการติดตั้งลิฟต์หรือทางลาด เพื่อให้ร้านของคุณเป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
อีกเรื่องที่เจ้าของร้านหลายคนมักมองข้ามจนสายเกินไปคือ การจัดเก็บสต็อกสินค้า ควรคิดล่วงหน้าว่าการนำสินค้ามาเติมที่ร้านทำได้สะดวกแค่ไหน คุณสามารถเข้าถึงสินค้าขายดีได้ง่ายหรือไม่ ชั้นวางของในร้านเคยว่างเปล่าหรือไม่ และมีระบบความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิดหรือระบบกันขโมย เพื่อป้องกันการสูญหายของสินค้าอย่างเหมาะสมหรือยัง
8. หาซัพพลายเออร์
ถ้าธุรกิจของคุณเปรียบเหมือนหัวใจ “ซัพพลายเออร์” หรือ “ผู้จัดจำหน่ายสินค้า” ก็คือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญ และทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่การเลือกซัพพลายเออร์ที่เหมาะสมตั้งแต่แรก การคัดเลือกซัพพลายเออร์ก็ไม่ต่างจากการสัมภาษณ์พนักงานใหม่
การจับมือร่วมงานกับซัพพลายเออร์ที่ไม่ดีอาจทำให้การผลิตและการจัดส่งล่าช้า ส่งผลให้คุณต้องเสียทั้งเวลาและเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากการตั้ง “เกณฑ์” สำหรับสิ่งที่คุณต้องการจากซัพพลายเออร์อย่างชัดเจน
ราคา เป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรนำมาคิดรวมด้วย ได้แก่
- คุณภาพของสินค้า
- การบริการลูกค้า
- ความสัมพันธ์ที่มีอยู่เดิม
- จรรยาบรรณในการทำธุรกิจของซัพพลายเออร์
- ข้อกำหนดขั้นต่ำในการสั่งซื้อ (MOQ)
- ความเชี่ยวชาญในสินค้าหรืออุตสาหกรรมของคุณ
- การอ้างอิงจากลูกค้ารายอื่นหรือชื่อเสียงในตลาด
การเลือกซัพพลายเออร์ที่ตรงตามเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างราบรื่น มีเสถียรภาพ และพร้อมเติบโตในระยะยาว
9. จ้างพนักงานขายของ
ความแตกต่างอีกประการระหว่างอีคอมเมิร์ซและร้านขายของคือ ความจำเป็นในการจ้างพนักงานตั้งแต่เริ่มต้น จะเป็นเรื่องยาก (ถ้าไม่ใช่เป็นไปไม่ได้) ที่จะจัดการร้านขายของด้วยตัวเอง คุณจะต้องสร้างทีมและฝึกอบรมพวกเขาด้วยทักษะขายของที่จำเป็นต่อความสำเร็จ
เมื่อคุณจ้างพนักงานเป็นครั้งแรก ให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ และคุณยังต้องมีบัญชีสำหรับการจ่ายเงินเดือนด้วย
เวลาคุณสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม อย่าลืมว่าคุณกำลัง “สัมภาษณ์ทัศนคติ” ไปพร้อมกับ “ความสามารถ” ด้วย การทำงานกับคนที่มีใจอยากเติบโตไปกับธุรกิจของคุณ แม้จะต้องสอนงานเพิ่มเติม ยังง่ายกว่าการทำงานกับคนที่เก่งแต่ขาดแรงจูงใจหรือไม่เข้าใจเป้าหมายของทีม
10. เลือกระบบชำระเงิน
ส่วนสุดท้ายของปริศนาวิธีเปิดร้านขายของที่ต้องจัดการคือ การเลือกระบบชำระเงินที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ
มี 2 สิ่งที่คุณต้องพิจารณาเมื่อเป็นเรื่องของระบบชำระเงิน ได้แก่ POS ที่คุณจะใช้สำหรับการชำระเงินที่เคาน์เตอร์ และผู้ประมวลผลการชำระเงิน
ระบบ POS
ระบบ POS (Point of Sale) คือฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณรับชำระเงินจากลูกค้า และทำการขายแบบออฟไลน์ได้
ฮาร์ดแวร์ POS ของคุณอาจมีเพียงอุปกรณ์พกพา เช่น แท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟน พร้อมเครื่องอ่านหรือเครื่องรูดบัตรก็เพียงพอแล้ว แต่ในหลายกรณี คุณอาจต้องรองรับการชำระด้วยเงินสดด้วย ดังนั้นคุณจะต้องมีลิ้นชักเก็บเงินเพิ่มเติม
อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบ POS ของคุณมีขั้นตอนการชำระเงินที่รวดเร็วและรองรับการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต เดบิต การชำระผ่านมือถือ บัตรของขวัญทั้งแบบจริงและดิจิทัล รวมถึงเงินสด
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน
ระบบ POS บางเจ้า เช่น Shopify POS มาพร้อมระบบประมวลผลการชำระเงินแบบครบวงจร ในขณะที่บางระบบต้องให้คุณจัดการสัญญา ค่าธรรมเนียม และการรับชำระเงินแยกกับผู้ให้บริการภายนอก
ระบบชำระเงินแบบครบวงจรช่วยลดต้นทุนเริ่มต้น ทำให้รับเงินได้เร็วขึ้น และลดความผิดพลาดในการบันทึกบัญชีที่อาจเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ อีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาในการตรวจสอบยอดธุรกรรม
ในทางกลับกัน หากคุณใช้ผู้ให้บริการภายนอกในการประมวลผลการชำระเงิน คุณจะต้องกระทบยอดธุรกรรมจากเครื่องรูดบัตรกับระบบ POS ด้วยตนเอง และอาจใช้เวลานานกว่าจะได้รับยอดชำระเงิน
เวลาเลือกระบบ POS ให้คุณตรวจสอบให้ดีว่ามีรายละเอียดเกี่ยวกับประมวลผลการชำระเงินเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อย่างนั้นคุณอาจเจอใบเรียกเก็บเงินที่ไม่ได้คาดคิด
11. ใช้ระบบจัดการสินค้าคงคลัง
เมื่อเปิดร้านใหม่ การจัดการสต็อกสินค้าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของการดำเนินธุรกิจค้าปลีก ดังนั้นควรเริ่มต้นให้ถูกทางด้วยการใช้ซอฟต์แวร์จัดการสต็อกที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรก
มองหาแพลตฟอร์มที่สามารถรวมสต็อกจากร้านค้าออนไลน์และร้านค้าปลีกของคุณไว้ในที่เดียวกันได้ หากคุณใช้ Shopify คุณจะมีฟีเจอร์จัดการสต็อกมาให้ในตัวอยู่แล้ว พร้อมตัวเลือกในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มจากผู้ให้บริการรายอื่น
12. สร้างแบรนด์ขายของของคุณ
การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและสามารถเชื่อมโยงกับลูกค้าได้ในเชิงอารมณ์จะช่วยผลักดันความสำเร็จของร้านค้าปลีกของคุณได้มากขึ้น แบรนด์ของคุณไม่ใช่แค่ชื่อหรือโลโก้เท่านั้น แต่คือ “ตัวตนของคุณ” “สิ่งที่แบรนด์ของคุณยืนหยัดเพื่อ” และ “เหตุผลที่แบรนด์นี้เกิดขึ้นมา”
การสร้างแบรนด์ควรรวมถึงองค์ประกอบสำคัญ เช่น พันธกิจและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ รวมถึงเอกลักษณ์ด้านภาพอย่างโลโก้ สี ฟอนต์ และรูปแบบการจัดวาง นอกจากนี้ยังควรกำหนดเสียงและโทนของแบรนด์ให้ชัดเจน
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การสร้างแบรนด์ก็คือ การทำให้ทีมงานทุกคนเข้าใจและถ่ายทอดตัวตนของแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง รวมขั้นตอนการเรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์ไว้ในกระบวนการฝึกอบรมพนักงานของคุณด้วย
13. วางแผนการดำเนินงานของร้าน
แม้การดำเนินงานในแต่ละวันอาจฟังดูไม่ใช่ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการเปิดร้านขายของใหม่ แต่ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการเปิดร้านขายของอย่างมีนโยบายและกระบวนการทำงานที่ชัดเจนจะช่วยให้ประสบการณ์ของลูกค้าคงเส้นคงวา รวมถึงช่วยจัดการสต็อกสินค้าและให้บริการลูกค้าได้รวดเร็ว
หากคุณขายของแบบออมนิชาแนล ควรคิดด้วยว่าร้านค้าปลีกของคุณจะทำงานร่วมกับร้านค้าออนไลน์หรือเว็บไซต์อย่างไร เช่น อาจอยากให้ลูกค้าสามารถ “สั่งออนไลน์ รับสินค้าที่ร้าน” (BOPIS) หรือเลือกรับสินค้าที่จุดรับหน้าร้าน (Curbside Pickup) ได้ ในกรณีนี้ ควรเลือกใช้ระบบ Unified Commerce อย่าง Shopify ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลลูกค้า คำสั่งซื้อ และสินค้าคงคลังจากทุกช่องทางการขายไว้ในที่เดียวกัน
นี่คือสิ่งที่ Riess Group ทำเมื่อต้องช่วยร้านค้าใน Shopify อย่าง Vestique ปรับปรุงประสิทธิภาพของร้านค้าปลีก พวกเขาชื่นชอบที่ Shopify มีระบบและเครื่องมือเหล่านี้พร้อมใช้งานตั้งแต่เริ่มต้น ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้นได้มากถึง 18%
14. โปรโมตร้านขายของของคุณ
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้ คุณได้จดทะเบียนธุรกิจ เลือกทำเล ร้านค้า ซัพพลายเออร์ พนักงาน และระบบชำระเงินเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็เพียงแค่โปรโมตร้านและเตรียมพร้อมสำหรับวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการ
ในช่วงที่รอสต็อกสินค้าชุดแรกมาถึง (และเตรียมร้านให้พร้อมสำหรับการต้อนรับลูกค้า) ลองวางแผนการตลาดเพื่อโปรโมตร้านของคุณให้คนในพื้นที่รู้จักมากขึ้น
คุณสามารถโปรโมตธุรกิจของคุณโดยการสร้างความร่วมมือในท้องถิ่น จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือแม้กระทั่งจัดงานช็อปปิ้งที่มีประสบการณ์ พิมพ์ใบปลิวและติดประกาศในท้องถิ่น ติดป้ายภายในและหน้าร้าน และพิจารณาโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
15. ขยายธุรกิจออนไลน์ของคุณ
ขั้นตอนวิธีเปิดร้านขายของสุดท้ายคือการพยายามขยายธุรกิจของคุณ ในด้านการมีอยู่ทางออนไลน์ มีสองพื้นที่ที่ควรพิจารณาคือโซเชียลมีเดียและ SEO ในท้องถิ่น บนโซเชียลมีเดีย ลองค้นหากลุ่มหรือเพจในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่คุณสามารถเข้าร่วมได้ในขณะที่โปรโมตร้านใหม่ของคุณ (รวมถึงการแชร์เพจธุรกิจของคุณกับเครือข่ายของคุณ)
การตั้งค่า SEO ในท้องถิ่นเป็นแผนระยะยาว แต่เริ่มต้นด้วยการลงทะเบียนใน Google เมื่อคุณลงทะเบียนธุรกิจของคุณ ให้เสนอรายละเอียดที่เกี่ยวข้องมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้ผู้ค้นหาท้องถิ่นหาคุณเจอ
เริ่มสเต็ปวิธีเปิดร้านขายของ แล้วเริ่มทำกำไรตั้งแต่วันนี้
เส้นทางก่อนเปิดร้านอย่างเป็นทางการอาจไม่ได้ราบรื่นไปทั้งหมด แต่การมีเครือข่ายสนับสนุนที่แข็งแรงจะช่วยให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันได้อย่างลงตัว นอกจากผู้คนแล้ว เครื่องมือที่เหมาะสมก็สามารถยกระดับธุรกิจของคุณได้เช่นกัน
Shopify มีเครื่องมือครบทุกอย่างที่คุณต้องการในการเปิดร้านค้าปลีกที่ทำกำไรได้จริง ไม่ใช่แค่ระบบ POS สำหรับคิดเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณจัดการทุกด้านของธุรกิจได้จากหลังบ้านเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้า จัดการโปรแกรมสะสมแต้มแบบออมนิชาแนล หรือรวมข้อมูลสต็อกสินค้าจากทุกช่องทางการขายไว้ในที่เดียว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเปิดร้านขายของ
ต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการเริ่มร้านขายของ?
เจ้าของธุรกิจขายของขนาดเล็กส่วนใหญ่ใช้จ่ายเฉลี่ยประมาณ 40,000 ดอลลาร์ในปีแรกของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเริ่มต้นร้านขายของได้ด้วยเงิน 0 ดอลลาร์หากคุณได้รับเงินทุนจากแหล่งภายนอก เช่น ธนาคาร นักลงทุน หรือการระดมทุน
วิธีเปิดร้านขายของให้ได้กำไร ต้องทำอย่างไร?
ร้านขายของสามารถมีกำไรได้ หากคุณมีผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาดอย่างชัดเจน และควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ Shopify ช่วยลดต้นทุนด้านนี้ได้ด้วยการรวมระบบ POS และอีคอมเมิร์ซไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ลดค่าใช้จ่ายรวมและค่าธรรมเนียมทางเทคโนโลยีลง
เปิดร้านขายของต้องเตรียมอะไรบ้าง?
คุณต้องมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจ สต๊อก พื้นที่ และเทคโนโลยีในการประมวลผลการชำระเงิน เพื่อเปิดร้านขายของ ขึ้นอยู่กับทำเลของคุณ คุณอาจต้องมีใบอนุญาตและใบอนุญาตเพิ่มเติม
วิธีเปิดร้านขายของโดยไม่มีเงินทุน ทำยังไง?
คุณสามารถเปิดร้านขายของโดยไม่มีเงินด้วยการหาทุนจากแหล่งภายนอก ช่น Shopify Capital สินเชื่อธุรกิจ นักลงทุน เงินช่วยเหลือสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และการระดมทุน เป็นต้น


