คุณสร้างสินค้าที่เจ๋งสุด ๆ ออกมาได้สำเร็จ และเพิ่งเปิดตัวธุรกิจเล็กของคุณอย่างเป็นทางการ แต่ความท้าทายต่อไปก็คือ การทำให้คนรู้จัก
ไม่ว่าคุณจะเปิดร้านออนไลน์ ร้านหน้าร้านจริง หรือทำทั้งสองแบบ การดึงดูดลูกค้าใหม่ต้องอาศัยกลยุทธ์ คุณจำเป็นต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ให้มากพอ จนพวกเขาพร้อมตัดสินใจซื้อครั้งแรก
ข่าวดีคือวิธีโปรโมทสินค้า ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องใช้เงินก้อนโต ด้วยการผสมผสานกลยุทธ์ดิจิทัลและออฟไลน์ที่เหมาะสม ธุรกิจเล็ก ๆ ก็สามารถโปรโมทตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้ต้นทุนบานปลาย
ด้านล่างนี้คือ 16 วิธีโปรโมทสินค้า ที่ช่วยประหยัดงบ แต่ได้ผลจริง เรารวบรวมมาพร้อมมุมมองจากผู้ประกอบการที่เคยลองใช้แล้ว และประสบความสำเร็จมาแชร์เป็นแนวทางให้คุณนำไปปรับใช้
1. สร้าง Business Profile บน Google
หนึ่งใน วิธีโปรโมทสินค้า ที่ทำได้ง่ายและฟรี คือการสร้าง Google Business Profile เพราะช่วยให้ธุรกิจปรากฏบนแผนที่ Google Maps และขึ้นโชว์ในผลการค้นหาของ Google โดยตรง
Amy Falcione ผู้ก่อตั้งเอเจนซี่ Big Picture Marketing อธิบายว่า “Google Business Profile ช่วยให้ธุรกิจท้องถิ่นมีตัวตนบนออนไลน์มากกว่าการมีแค่เว็บไซต์ของตัวเอง รายการนี้สามารถบอกได้อย่างกระชับว่าคุณคือใคร และธุรกิจคุณทำอะไรบ้าง”
ลูกค้าส่วนใหญ่จะค้นหา Google Business Profile ของคุณเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ เมื่อเจอแล้ว พวกเขายังสามารถอ่านรีวิวบน Google ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
สิ่งที่คุณสามารถใส่ลงใน Google Business Profile มีดังนี้
- รูปภาพหน้าร้านหรือสินค้า
- ที่อยู่และช่องทางติดต่อ
- คำอธิบายธุรกิจแบบสั้น ๆ
- ลิงก์ไปยังเว็บไซต์
- ระบบจองออนไลน์
- โปรไฟล์โซเชียลมีเดีย
ตัวอย่าง Google Business Listing ของแบรนด์รองเท้า Allbirds. ที่มา: Google
2. ลงชื่อธุรกิจในไดเรกทอรีออนไลน์
อีกหนึ่งวิธีโปรโมทสินค้าที่ได้ผลสำหรับทั้งร้านค้าออนไลน์และร้านหน้าร้านจริง คือการลงชื่อในไดเรกทอรีออนไลน์ เพราะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากลูกค้า สำหรับร้านค้าที่มีหน้าร้าน รายการเหล่านี้ยังช่วยให้ลูกค้าในพื้นที่หาคุณเจอเมื่อค้นหาสินค้าหรือบริการใกล้ตัว และยังถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Local SEO
ไดเรกทอรีที่ควรพิจารณา ได้แก่
- Google Maps
- Wongnai
- LINE MAN Mart หรือ LINE MAN Food
- Facebook Page และ Facebook Business Directory
- TrueID หรือ 3BB Directory (สำหรับบางประเภทธุรกิจท้องถิ่น)
แพลตฟอร์มเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นเว็บรีวิว ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้ Local SEO และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าธุรกิจคุณน่าเชื่อถือจริง
หน้าร้าน The Saucy Kitchen บน Wongnai ที่กรุงเทพฯ, ที่มา: Wongnai
3. กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิว
เมื่อคุณสร้างโปรไฟล์ธุรกิจในเว็บรีวิวต่าง ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการกระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ประสบการณ์ของพวกเขา รีวิวไม่เพียงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าใหม่ แต่ยังเป็นข้อมูลสำคัญที่บอกได้ว่าลูกค้าชอบหรือไม่ชอบอะไรในสินค้า ซึ่งช่วยพัฒนาสินค้าให้ตรงใจมากขึ้น
คุณสามารถทำให้รีวิวแสดงผลบนหน้าสินค้าได้ง่าย ๆ ผ่านแอปรีวิวใน Shopify App Store แอปเหล่านี้มักมาพร้อมวิดเจ็ตที่โชว์รีวิวแบบมีรูปหรือวิดีโอบนเว็บไซต์ และยังเชื่อมต่อไปยังแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok ได้ด้วย
วิธีเพิ่มจำนวนรีวิว เช่น
- ขอความคิดเห็นผ่าน SMS และอีเมล
- ใส่ลิงก์รีวิวในอีเมลยืนยันการจัดส่ง
- ผูกคำขอรีวิวเข้ากับโปรแกรมสะสมแต้ม
- ส่งข้อความเฉพาะกิจเพื่อขอฟีดแบ็กจากลูกค้า
เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากรีวิวเชิงบวก อย่าลืมแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดีย รีวิวเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือในคุณภาพสินค้า แต่ยังเป็นคอนเทนต์ใหม่ที่ช่วยดึงทราฟฟิกจากโซเชียลกลับมาที่ร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ด้วย
4. ปรับปรุงอันดับการค้นหา (SEO)
หนึ่งในวิธีโปรโมทสินค้าที่ได้ผลที่สุด คือการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป้าหมายคือทำให้ร้านของคุณติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา เมื่อผู้ซื้อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง พวกเขาจะเจอแบรนด์คุณ คลิกเข้ามา และมีโอกาสซื้อสินค้า
การทำ SEO มีหลายด้าน เช่น
- ปรับแต่งรูปภาพให้เหมาะสม
- ทำให้โครงสร้างเว็บไซต์ใช้งานง่าย
- ใส่คีย์เวิร์ดสำคัญลงในหน้าต่าง ๆ ของเว็บ
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopify มาพร้อมเครื่องมือ SEO ในตัว เช่น sitemap และการสร้างแท็กอัตโนมัติ เพื่อช่วยจัดการในส่วนเทคนิค คุณยังสามารถใช้เครื่องมือ SEO ภายนอกเพื่อหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับธุรกิจเพิ่มเติมได้อีกด้วย
แนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมจากคู่มือ ecommerce SEO เพื่อมั่นใจว่าคุณครอบคลุมทุกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยดันอันดับร้านค้าให้สูงขึ้น
Talaadnud ครองอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้เสิร์ชคีย์เวิร์ด “ตลาดนัดออนไลน์” ที่มา: Google
คุณยังสามารถใช้ SEO เพื่อกำหนดทิศทางสินค้าได้ด้วย เช่นเดียวกับ Zero Waste Store มาร์เก็ตเพลสสายรักษ์โลกที่เลือกทำวิธีนี้ พวกเขาศึกษาว่าสินค้าใดถูกค้นหาบ่อยในกลุ่มที่สนใจเรื่องความยั่งยืน แล้วนำสินค้านั้นมาวางขายในร้าน
Sarah Cieslinski ผู้ร่วมก่อตั้งเล่าว่าในรายการพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “เราใช้เวลาประมาณ 6 เดือนในการหาข้อมูลและทดสอบสินค้า” หลังจากทดสอบสินค้านับร้อยรายการ ทีมงานก็ตัดสินใจเปิดตัวด้วยแชมพูและคอนดิชันเนอร์แบบก้อน ซึ่งกลายเป็นสินค้าขายดีมาจนถึงวันนี้
5. เริ่มเขียนบล็อก
ต่างจากโฆษณาแบบจ่ายเงิน การเขียนบล็อกช่วยสร้างทราฟฟิกฟรี แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ กลยุทธ์คอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งที่มีบล็อกเป็นส่วนหนึ่งสามารถช่วยดึงผู้เข้าชมใหม่ ๆ ที่อาจไม่เคยเจอร้านคุณมาก่อนได้
มองบล็อกเหมือนนิตยสารเล่มเล็กสำหรับกลุ่มเป้าหมาย คุณอาจเขียนไกด์แนะนำของขวัญ บทความเจาะลึกในอุตสาหกรรม หรือการวิเคราะห์เทรนด์ที่กำลังมาแรง ขณะคิดหัวข้อบล็อกให้โฟกัสที่ความเชี่ยวชาญเฉพาะของคุณ และลองศึกษาบล็อกคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จว่าพวกเขาสร้างคอนเทนต์แบบไหนแล้วได้ผลดี
เนื้อหาควรหมุนรอบหัวข้อที่ผู้คนค้นหาจริง โดยใช้การทำวิจัยคีย์เวิร์ด และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้บล็อกด้วยการเชิญผู้เชี่ยวชาญในวงการมาร่วมเขียนหรือสัมภาษณ์ การมีชื่อเสียงของแขกรับเชิญช่วยเสริมความไว้วางใจในแบรนด์ และยังเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะแชร์คอนเทนต์ของคุณต่อไปยังผู้ติดตาม ทำให้ขยายการเข้าถึงได้กว้างขึ้น
ยกตัวอย่างบริษัทน้ำมันมะกอก Graza ที่สร้างบล็อกของตัวเองชื่อเล่นว่า Glog เนื้อหามีทั้งบทความให้ความรู้ เช่น “10 เรื่องสนุกเกี่ยวกับน้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น” สูตรอาหารมินิเอ็มปานาดากับซอสชิมิชูรี ไปจนถึงเคล็ดลับการทำอาหารจากเชฟและนักเขียนตำรากับข้าว Kristina Cho และ Graza ยังใช้กลยุทธ์กระจายคอนเทนต์ผ่านอีเมลนิวส์เลตเตอร์ ดึงผู้ติดตามกลับมาที่ร้านค้าออนไลน์ได้อย่างฉลาด
ที่มา: Graza
บล็อกใหม่ ๆ มักไม่ได้สร้างทราฟฟิกจำนวนมากทันที วิธีโปรโมทสินค้าที่ช่วยเร่งการเติบโตคือการทำ Blog SEO และการเผยแพร่บทความในเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว การทำ Guest Post แบบนี้ช่วยสร้าง Backlink คุณภาพ พร้อมเปิดโอกาสให้แบรนด์ของคุณได้เจอกับผู้ชมกลุ่มใหม่
“ในโลกของ SEO ทุกวันนี้ คอนเทนต์คือหัวใจสำคัญ และการเขียนบล็อกคือสิ่งที่จำเป็นที่สุด” JJ Follano ผู้ร่วมก่อตั้ง Zero Waste Store กล่าวในพอดแคสต์ Shopify Masters เขาแนะนำให้ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ดอย่าง Semrush เพื่อหาคีย์เวิร์ดยอดนิยม แล้วสร้างบทความที่ตอบโจทย์หัวข้อเหล่านั้น
6. ทำให้สื่อพูดถึงแบรนด์
การได้ลงสื่อถือเป็นวิธีโปรโมทสินค้าที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ เพิ่มพลัง SEO ผ่าน Backlink คุณภาพ และยังทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น แต่การจะได้คัฟเวอเรจจากสื่อก็ต้องมีกลยุทธ์และความพยายาม
วิธีดั้งเดิมคือการจ้างเอเจนซี่ประชาสัมพันธ์ (PR) ที่มีเครือข่ายนักข่าวและรู้วิธีนำเสนอเรื่องราวให้น่าสนใจพอที่จะถูกหยิบไปลง แต่บริการนี้อาจมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับธุรกิจใหม่
ถ้าอยากทำเอง ลองส่งข่าวประชาสัมพันธ์ (Press Release) หรือชุดสื่อ (Press Kit) โดยแนบรูปคุณภาพสูงไปหานักข่าวโดยตรง สร้างลิสต์นักข่าวที่เขียนเกี่ยวกับสินค้าหรือธุรกิจใกล้เคียง แล้วหาช่องทางติดต่อผ่าน Google หรือโซเชียลมีเดีย
การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ให้โดน ควรเชื่อมโยงกับโมเมนต์ที่เอ็กซ์คลูซีฟ หรือมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่ การคว้ารางวัล หรือเล่าเรื่องราวที่มีมุมชวนติดตาม เช่น กระบวนการผลิตที่ยั่งยืนไม่เหมือนใคร หรือเส้นทางผู้ก่อตั้งที่น่าสนใจ
อีกกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลคือการทำให้สินค้าติดอยู่ใน Gift Guide ตามเทศกาล เช่น ลิสต์ของขวัญวันแม่ วันปีใหม่ หรือเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่ ๆ การส่งตัวอย่างสินค้าให้นักข่าวหรือบรรณาธิการก็เป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาส แม้จะไม่การันตีการลงสื่อ แต่ก็ทำให้ชื่อแบรนด์อยู่ในใจสื่อเวลาจัดทำคอนเทนต์
ภาพ: ผ้าคลุมจากแบรนด์ Poemet ที่ถูกเลือกลงใน Gift Guide ของ Wirecutter ที่มา: Wirecutter
อย่าเพิ่งท้อถ้าเริ่มแรกคุณติดต่อไปแล้วได้คำตอบกลับมาน้อย เพราะนักข่าวได้รับพิตช์นับไม่ถ้วนในแต่ละวัน แต่ถ้าคุณทำให้ชื่อแบรนด์ติดอยู่ในเรดาร์ของพวกเขา วันหนึ่งเมื่อต้องการแหล่งอ้างอิงหรือหาสินค้ามาลงข่าว คุณก็มีโอกาสถูกเลือก
7. โฟกัสที่อีเมลมาร์เก็ตติ้ง
อีเมลมาร์เก็ตติ้งถือเป็นวิธีโปรโมทสินค้าที่สร้างผลลัพธ์น่าทึ่ง ทุกการลงทุนประมาณ 36 บาท คุณอาจได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึงราว 1,300 บาท ที่สำคัญคือไม่จำเป็นต้องมีงบมหาศาลก็สามารถทำแคมเปญอีเมลที่มีประสิทธิภาพได้ แพลตฟอร์มอย่าง Shopify Email ก็มีเทมเพลตฟรีที่ช่วยให้อีเมลดูเป็นมืออาชีพตั้งแต่แรก
ด้วยเครื่องมืออีเมลอัตโนมัติ เช่น อีเมลต้อนรับ อีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ หรืออีเมลเตือนเมื่อตะกร้าถูกทิ้งไว้ คุณจะประหยัดเวลาในการจัดรูปแบบ และโฟกัสไปที่การเขียนคอนเทนต์โปรโมชันให้น่าสนใจได้เต็มที่
สิ่งแรกที่ควรทำคือสร้างลิสต์ผู้ติดตาม แชร์ลิงก์สมัครรับอีเมลผ่านโซเชียลมีเดีย และวางฟอร์มสมัครไว้ในตำแหน่งเด่นบนเว็บไซต์ พร้อมมอบสิ่งจูงใจ เช่น ส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก หรือคอนเทนต์พิเศษสำหรับสมาชิกเท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้คนกดสมัคร
การสร้างฟอร์มสมัครควรใช้ข้อความที่ดึงดูดและสะท้อนเสียงของแบรนด์ เช่นแบรนด์เครื่องปรุง Fly By Jing ที่ใช้คำเชิญชวนอย่าง “Electrify your inbox” ทำให้คนรู้สึกอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์มากขึ้น
ฟอร์มสมัครอีเมลลิสต์ของ Fly By Jing ที่มา: Fly By Jing
8. ทำโปรแกรมแนะนำเพื่อน
อีกหนึ่งวิธีโปรโมทสินค้าที่ได้ผลดี คือการทำโปรแกรมแนะนำเพื่อน เปลี่ยนลูกค้าที่พอใจให้กลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ โดยมอบรางวัลตอบแทนเมื่อพวกเขาแนะนำธุรกิจให้กับครอบครัวหรือเพื่อน ๆ โปรแกรมลักษณะนี้ช่วยขยายการเข้าถึง และกระตุ้นให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ
เริ่มจากการกำหนดกติกาของโปรแกรมให้ชัดเจน เช่น จะให้รางวัลอะไร? ผู้ถูกแนะนำต้องทำตามเงื่อนไขแบบไหน? ตัวอย่างเช่น อาจให้ของขวัญฟรีกับผู้แนะนำ เมื่อลูกค้าใหม่ที่ถูกชวนมียอดสั่งซื้ออย่างน้อย 1,800 บาทขึ้นไป
ลองสร้างประโยชน์ให้ทั้งสองฝ่าย แบรนด์เสื้อผ้าเพื่อสิ่งแวดล้อม Tentree ทำได้ดีโดยมอบเครดิต 720 บาทให้กับลูกค้าที่แนะนำเพื่อน และผู้ซื้อใหม่ก็ได้ส่วนลด 20% สำหรับการสั่งซื้อครั้งแรกเช่นกัน
แบรนด์เสื้อผ้าเพื่อสิ่งแวดล้อม Tentree มอบส่วนลดให้ทั้งผู้แนะนำและผู้ถูกแนะนำ ที่มา: Tentree
9. สร้างตัวตนบน TikTok
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 TikTok มีผู้ใช้งานต่อเดือนกว่า 2 พันล้านคน กลายเป็นโซเชียลแพลตฟอร์มยอดนิยมอันดับ 4 รองจาก Facebook, YouTube และ Instagram หลายแบรนด์ใช้โอกาสนี้สร้างการเติบโต เช่น Gymshark ที่ดึงดูดผู้ติดตามนับล้านได้สำเร็จ
เสน่ห์ของ TikTok คือความเข้าถึงง่าย คอนเทนต์ที่ถ่ายแบบเรียล ๆ จากมือถือสไตล์ DIY กลับทำงานได้ดีกว่าคอนเทนต์โปรดักชันใหญ่ ๆ คุณสามารถสร้างกระแสไวรัลได้โดยไม่ต้องลงทุนกับอุปกรณ์ราคาแพง
ไอเดียวิดีโอที่ช่วยสร้างตัวตนบน TikTok
- Sneak peek: พรีวิวคอลเลกชันใหม่หรือสินค้าตัวเด่น
- เบื้องหลัง: โชว์ขั้นตอนการทำงาน ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต จนถึงการแพ็กของส่ง
- ทิปส์: แชร์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เช่น ถ้าขายกระทะ ก็อาจสอนวิธีดูแลหรือทำความสะอาดอย่างถูกต้อง
- How we got here: เล่าเส้นทางแบรนด์ให้ผู้ติดตามรู้จักมากขึ้น
- สัมภาษณ์: พูดคุยกับลูกค้า พนักงาน หรือพาร์ทเนอร์ ว่าทำไมถึงชอบสินค้า หรือทำไมถึงเลือกทำงานในสายนี้
- มีมส์: ดัดแปลงมีมดังให้เข้ากับสินค้าและแบรนด์
สิ่งสำคัญคือคอนเทนต์ต้องตรงกับบุคลิกแบรนด์ เช่น ถ้าเป็นแบรนด์แฟชั่นลักชัวรี อาจไม่เน้นมีม แต่เลือกทำวิดีโอเบื้องหลังที่ดูหรูหราแทน
Gymshark คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจน พวกเขาสร้างวิดีโอที่สะท้อนภาพลักษณ์สายฟิตเนสเข้มข้น เช่น คลิปเปรียบเทียบ “ฮีโร่ vs วายร้าย” ที่กลายเป็นไวรัล
10. วิธีโปรโมทสินค้าด้วยช่อง YouTube
ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2005 YouTube ยังคงเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมอันดับ 2 รองจาก Facebook และเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่เหมาะกับการสร้างคอนเทนต์ระยะยาว
ถ้าคุณมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลองสร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ เช่น วิดีโอสอนใช้งานสินค้า หรืออธิบายข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ อีกทางเลือกหนึ่งคือการทำวิดีโอสั้น (YouTube Shorts) เพื่อเข้าถึงผู้ชมใหม่ ๆ และยังสามารถแชร์คอนเทนต์เดียวกันไปที่ TikTok หรือ Instagram Reels เพื่อขยายการเข้าถึงให้มากที่สุด
ตัวอย่างเช่นแบรนด์เกี๊ยวแช่แข็ง MìLà ใช้วิดีโอเรียบง่ายในการสาธิตให้ลูกค้าเห็นว่าการนึ่งเกี๊ยวที่บ้านทำได้ง่ายแค่ไหน วิดีโอแบบนี้ช่วยให้ผู้ชมเข้าใจสินค้าและจินตนาการได้ว่าซื้อไปใช้แล้วจะเป็นยังไง
11. เก็บคอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างเอง
คอนเทนต์ที่ลูกค้าสร้างเอง หรือ UGC ถือเป็นวิธีโปรโมทสินค้าที่ช่วยสร้าง Social Proof ทำให้แบรนด์น่าเชื่อถือมากขึ้น แถมยังช่วยสร้างคอมมูนิตี้รอบ ๆ แบรนด์ และได้คอนเทนต์การตลาดที่ดูจริงใจไม่โฆษณาเกินไป
กลยุทธ์ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าที่คุณขาย ถ้าเป็นแบรนด์อาหาร อาจชวนผู้ติดตามแชร์สูตรหรือรูปเมนูที่ทำจากสินค้าของคุณ ถ้าเป็นเสื้อผ้า ก็อาจให้ลูกค้าโพสต์ไอเดียการมิกซ์แอนด์แมตช์ที่ใช้สินค้าของคุณ
ตัวอย่างเช่นแบรนด์ซอส Omsom ที่นำเสนอเมนูจากลูกค้าและเชิญชวนผู้ติดตามติดแท็กแบรนด์เพื่อมีโอกาสถูกเลือกไปลงหน้าเพจ วิธีนี้ช่วยสร้างความตื่นเต้นให้แฟน ๆ อยากมีส่วนร่วม และยังขยายการเข้าถึงเมื่อผู้ใช้แชร์แบรนด์ไปยังผู้ติดตามของตัวเอง
12. โปรโมทสินค้าผ่านอินฟลูเอนเซอร์
อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก งานวิจัยปี 2024 จาก Sprout Social ระบุว่า 49% ของผู้บริโภคซื้อสินค้าจากโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์อย่างน้อยเดือนละครั้ง
อินฟลูเอนเซอร์สร้างคอนเทนต์ในหลายแพลตฟอร์ม ตั้งแต่ Instagram TikTok ไปจนถึง Twitch และมีหลายรูปแบบ เช่น ไลฟ์สไตล์บล็อก หรือสตรีมมิ่งเกม ซึ่งหมายความว่าคุณต้องเลือกพาร์ทเนอร์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ศึกษาดูว่าแบรนด์คู่แข่งร่วมงานกับใครบ้าง และรูปแบบคอนเทนต์แบบไหนที่ได้ผลในอุตสาหกรรมของคุณ
เริ่มต้นจากการทำงานกับนาโนอินฟลูเอนเซอร์ (ผู้ติดตาม 500–10,000 คน) หรือไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (ผู้ติดตาม 10,000–100,000 คน) ที่มักมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าระดับเซเลบ คุณสามารถหาอินฟลูเอนเซอร์และจัดการความสัมพันธ์ได้ผ่าน Shopify Collabs ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อแบรนด์กับครีเอเตอร์
ถ้างบจำกัด ลองใช้โมเดลพาร์ทเนอร์แบบอื่น เช่น
- แอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้ง ให้ครีเอเตอร์รับค่าคอมมิชชันจากยอดขายผ่านลิงก์เฉพาะ
- การส่งสินค้าเป็นของขวัญแทนการจ่ายเงินตรง
เวลาเลือกส่งสินค้าควรให้สิ่งที่มีมูลค่าจริง เช่น การเข้าถึงสินค้าใหม่ก่อนใคร หรือสินค้าที่มีจุดขายด้านการตลาด
ตัวอย่างคือแบรนด์อาหาร Good Girl Snacks ที่สร้างไวรัลด้วยผลิตภัณฑ์ Hot Girl Pickles โดยร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ดังอย่าง Alix Earle และ Kit Keenan
Leah Marcus ผู้ร่วมก่อตั้ง Good Girl Snacks พูดในพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “เรามีทฤษฎีว่าชื่อสินค้า Hot Girl Pickles มันดึงดูดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ให้หยิบไปเล่นในวิดีโอ เพราะคนจะสงสัยว่า ‘นี่คืออะไร? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย’ อีกทั้งพวกเขายังเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ได้ลอง ทำให้มีความฮือฮา สุดท้ายมันกลายเป็น win-win ทั้งสองฝ่าย”
เพื่อให้การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ได้ผล ควรสร้างบรีฟคอนเทนต์ที่ชัดเจน แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ครีเอเตอร์ได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง เพราะพวกเขารู้ดีที่สุดว่าผู้ติดตามชอบคอนเทนต์แบบไหน เมื่อสร้างความสัมพันธ์ได้แล้ว ควรทำสัญญาอย่างเป็นทางการ โดยระบุเงื่อนไขการจ่ายเงิน เนื้อหาที่ต้องส่งมอบ และกำหนดเวลาให้ชัดเจน
13. เปิดตัวแบรนด์คอลแลปฯ
สำหรับธุรกิจใหม่ การสร้างความเชื่อมั่นจากลูกค้าอาจเป็นเรื่องท้าทาย ความร่วมมือระหว่างแบรนด์ถือเป็นวิธีโปรโมทสินค้าที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะคุณจะได้เชื่อมโยงกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เข้าถึงฐานลูกค้าของพวกเขา และยืมพลังความน่าเชื่อถือมาเสริมแบรนด์ของคุณ เมื่อลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ที่ไว้วางใจเลือกจับมือกับคุณ พวกเขาก็มักเปิดใจทดลองสินค้ามากขึ้น
มองหาพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง ตัวอย่างเช่นแบรนด์อาหารกระป๋อง Fishwife ที่จับมือกับแบรนด์อาหารเสริมอื่น ๆ อย่างผู้ผลิตช็อกโกแลต Bixby เพื่อสร้างคอลแลบที่ลงตัวและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่
14. ร่วมพูดคุยในหัวข้อที่กำลังติดเทรนด์
ถึงแม้แฮชแท็กจะเริ่มต้นมาเพื่อจัดกลุ่มการสนทนา แต่ปัจจุบันสิ่งที่สำคัญกว่าคือการจับประเด็นให้ทันและตรงเวลา เพราะอัลกอริทึมโซเชียลมักจะดันคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับกระแส ทำให้แบรนด์เข้าถึงผู้ชมใหม่ ๆ ได้มากขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมกับบทสนทนาที่กำลังฮิต
คุณสามารถดูหน้า Explore บน TikTok เพื่อดูว่าคอนเทนต์แบบไหนกำลังมาแรง อีกทางหนึ่งก็คือสังเกตฟีดของตัวเอง เช่น ถ้าเห็น Reels ใน IG หลายคลิปพูดถึงหัวข้อเดียวกัน หรือเพื่อน ๆ แชร์มีมแนวเดียวกัน นั่นอาจบอกได้ว่ากำลังเป็นกระแส
ถ้าจะเข้าร่วมในประเด็นที่จริงจัง ควรเลือกเรื่องที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ และโพสต์อย่างมีความรับผิดชอบและให้เกียรติ ที่สำคัญที่สุดคือเข้าร่วมเฉพาะการสนทนาที่คุณสามารถให้ประโยชน์และความจริงใจได้จริง
สำหรับเทรนด์เบา ๆ อย่างมีม ลองดัดแปลงให้นำเสนอสินค้า หรือเชื่อมโยงกับค่านิยมของแบรนด์ ตัวอย่างเช่นแบรนด์รองเท้าเพื่อสิ่งแวดล้อม Rothy’s ที่นำฟอร์แมตมีมยอดนิยมมาปรับใช้กับการโปรโมทสินค้าอย่างสร้างสรรค์
15. ใช้โฆษณา Retargeting เป็นวิธีโปรโมทสินค้า
โฆษณาแบบ Retargeting บนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook Ads และ Google Ads เป็นวิธีโปรโมทสินค้าที่ช่วยเชื่อมต่อกับลูกค้าที่เคยเข้ามาที่ร้านของคุณแล้ว (และกดยอมรับคุกกี้) กลยุทธ์นี้ทำให้งบโฆษณาโฟกัสไปที่กลุ่มคนที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว จึงมีโอกาสสูงที่จะขยับพวกเขาไปสู่การตัดสินใจซื้อ
คุณสามารถปรับแต่งโฆษณาตามพฤติกรรมการเข้าชมได้ เช่น Google Ads อาจโชว์สินค้าที่ใกล้เคียงกับสินค้าที่ลูกค้าเคยดูแต่ยังไม่ได้ซื้อ เพื่อเตือนความสนใจและกระตุ้นให้กลับมาปิดการขายสำเร็จ
แบรนด์สกินแคร์ Frank Body ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อรีทาร์เก็ตผู้บริโภคที่เคยเข้ามาดูสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ
16. จัดหรือร่วมอีเวนต์ออฟไลน์
งานตลาดนัด งานคราฟต์แฟร์ งานแสดงสินค้า หรือเฟสติวัลต่าง ๆ เป็นโอกาสทองสำหรับธุรกิจเล็ก ๆ ที่อยากหาวิธีโปรโมทสินค้า พบลูกค้าตัวจริง และสร้างการรับรู้แบรนด์ อีเวนต์เหล่านี้ทำให้ผู้ซื้อได้สัมผัสสินค้าจริง ๆ โดยตรง ซึ่งสำคัญมากสำหรับสินค้าที่รูปถ่ายอาจสื่อคุณภาพได้ไม่ครบ เช่น ผ้าพรีเมียม เทียนหอม หรืออาหาร
Amy Falcione ผู้ก่อตั้งเอเจนซี่ Big Picture Marketing แนะนำว่า “อีกวิธีโปรโมทธุรกิจในท้องถิ่นคือการจัดเวิร์กช็อปหรือบรรยาย เช่น ถ้าคุณทำธุรกิจเทียนหอม ลองเปิดเวิร์กช็อปสอนทำเทียนในพื้นที่ท้องถิ่น ก็เป็นวิธีที่ดีในการสร้างชื่อเสียงและเพิ่มการรับรู้แบรนด์”
ก่อนวางแผนอีเวนต์ ควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างยอดขายทันที การเพิ่มความน่าเชื่อถือผ่านพาร์ทเนอร์ หรือการสร้างการรับรู้ในชุมชน
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Heyday Canning Co. ที่จัดป๊อปอัพ “bean swap” 4 วันในนิวยอร์ก ผู้เข้าร่วมสามารถนำถั่วกระป๋องมาแลกเป็นสินค้าของที่ระลึก เช่น ถุงเท้าลายถั่ว (3 กระป๋อง) หมวกถั่ว (5 กระป๋อง) หรือสร้อยคอถั่ว (15 กระป๋อง) โดย Heyday บริจาคถั่วทั้งหมดให้ธนาคารอาหาร City Harvest ในนิวยอร์ก
Kat Kavner ผู้ก่อตั้ง Heyday บอกในพอดแคสต์ Shopify Masters ว่า “เป้าหมายของเราคือทำอะไรที่แตกต่างและโดดเด่นบน TikTok เราอยากสร้างประสบการณ์ที่มีโอกาสสูงที่ผู้เข้าร่วมจะถ่ายแล้วแชร์เป็น UGC”
คอนเซปต์สุดครีเอทีฟนี้ได้ผลจริง งานกลายเป็นไวรัลใน TikTok และมีคนต่อแถวกันยาวเป็นกิโลฯ
ภาพประกอบโดย Rachel Tunstall
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีโปรโมทสินค้า
วิธีโปรโมทสินค้าธุรกิจเล็กๆ ให้ได้ผล ต้องทำยังไง?
เพิ่มการมองเห็นของธุรกิจเล็ก ๆ โดยเริ่มจากการสร้าง Google Business Profile เก็บรีวิวจากลูกค้า และสร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์ที่เสริมกัน การเขียนบล็อกอย่างต่อเนื่อง และการทำ SEO แบบเจาะจง ก็ช่วยขยายการเข้าถึงได้มาก โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบมหาศาล
กลยุทธ์โปรโมทฟรีที่ดีที่สุด มีอะไรบ้าง?
คุณสามารถทำการตลาดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ใน TikTok Instagram และ YouTube สร้างโปรไฟล์บนเว็บรีวิว เช่น Wongnai หรือ Google Maps แล้วกระตุ้นให้ลูกค้าที่ประทับใจเขียนรีวิว นอกจากนี้ยังสามารถให้รางวัลลูกค้าเก่าที่แนะนำเพื่อนใหม่มาซื้อสินค้า ด้วยโปรแกรมแนะนำเพื่อน ซึ่งจะช่วยสร้างวงจรการเติบโตแบบยั่งยืน
โฆษณาใน Google มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายของวิธีโปรโมทสินค้าผ่าน Google Ads แตกต่างกันไปตามการแข่งขันในอุตสาหกรรมและคีย์เวิร์ดที่เลือก โดยทั่วไปธุรกิจมักจ่ายอยู่ที่ 36–72 บาทต่อคลิก สำหรับแคมเปญแบบ PPC (Pay Per Click) แต่ในบางอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง ราคาสามารถพุ่งไปได้ถึง 1,800 บาทต่อคลิก เริ่มจากงบประมาณเล็ก ๆ ก่อน ติดตามผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS) แล้วค่อยปรับการลงทุนตามตัวชี้วัดผลงาน


