หากร้านค้าของคุณยังไม่ได้ใช้ผู้ให้บริการรับชำระเงิน (payment provider) แต่ต้องการรับบัตรเครดิตจากลูกค้า สิ่งที่ต้องมีคือบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า
บัญชีประเภทนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อม ระหว่างบัญชีธุรกิจของคุณกับธนาคารผู้ออกบัตรของลูกค้า โดยช่วยประมวลผลธุรกรรมและโอนยอดขายเข้าสู่บัญชีร้านค้าอย่างปลอดภัย
หลังจากช่วงโควิด ธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนไปใช้ระบบไร้เงินสดและขายออนไลน์มากขึ้น การมีบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าจึงเป็นการลงทุนที่ช่วยให้ลูกค้าชำระเงินได้สะดวกและต่อเนื่องทุกช่องทาง
ในบทความนี้ เราจะพาไปดูพื้นฐานของบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า ค่าธรรมเนียมที่ควรรู้ และวิธีเลือกธนาคารผู้ให้บริการบัญชีรับเงินที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าคืออะไร?
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า คือบัญชีธนาคารประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาสำหรับธุรกิจ เพื่อใช้รับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
เมื่อมีการซื้อสินค้าโดยใช้บัตรเครดิต ระบบบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าจะทำหน้าที่สื่อสารกับธนาคารผู้ออกบัตร ดึงเงินจากบัญชีของลูกค้า และโอนเข้าบัญชีร้านค้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าในการรับยอดขายและทำให้ธุรกรรมรวดเร็วขึ้น
หากคุณมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจก็สามารถเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้ากับธนาคารที่ให้บริการด้านนี้ เพื่อเริ่มต้นรับชำระเงินผ่านบัตรได้ทันที
ระบบของบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า มีลักษณะยังไง?
1. ผ่าน Payment Gateway ที่ปลอดภัย
เมื่อมีลูกค้าชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ระบบ Payment Gateway จะติดต่อธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อตรวจสอบว่ายอดเงินในบัญชีเพียงพอสำหรับการทำรายการ (โดยทั่วไปคุณสามารถตั้งค่า Payment Gateway พร้อมกับการสร้างบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าได้เลย)
2. สื่อสารกับธนาคารผู้ออกบัตรลูกค้า
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าจะสื่อสารกับธนาคารผู้ออกบัตรของลูกค้าเพื่อยืนยันธุรกรรม เมื่อได้รับการอนุมัติ ระบบจะหักยอดเงินจากบัตรเครดิตของลูกค้าโดยอัตโนมัติ
3. รับเงินและโอนเข้าบัญชีร้านค้า
ผู้ให้บริการบัญชีรับเงินจะดำเนินการชำระเงินโดยโอนยอดเข้าบัญชีธนาคารของร้านค้า พร้อมหักค่าธรรมเนียมธุรกรรมประมาณ 3%–5% ของยอดรวม โดยปกติ การโอนยอดจะไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะถูกรวมและโอนเป็นรอบๆ ตอนสิ้นวันหรือสิ้นสัปดาห์
ค่าธรรมเนียมของบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า
บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าควรช่วยให้ธุรกิจเติบโต ไม่ใช่เพิ่มภาระด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไป ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตให้ดี
-
ค่าธรรมเนียมเปิดบัญชี: ผู้ให้บริการบางรายอาจมีค่าธรรมเนียมเปิดบัญชีครั้งเดียว โดยเฉพาะกรณีที่ขอเชื่อมต่อระบบชำระเงินผ่านบัตรหรืออุปกรณ์ EDC แต่ธนาคารส่วนใหญ่ในไทยมักยกเว้นค่าธรรมเนียมนี้หากมียอดขายตามเกณฑ์ที่กำหนด
-
ค่าธรรมเนียมขั้นต่ำรายเดือน: ผู้ให้บริการบางรายอาจกำหนดยอดขายขั้นต่ำต่อเดือนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หากยอดธุรกรรมผ่านบัตรไม่ถึงเกณฑ์ จะมีค่าธรรมเนียมส่วนต่างเพิ่ม แต่ในหลายกรณีสามารถเจรจาปรับตามขนาดร้านได้
-
ค่าธรรมเนียมรายปี: คิดเป็นค่าบริการดูแลระบบหรือค่าธรรมเนียมบำรุงรักษาบัญชี โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1,000–3,000 บาทต่อปี หรืออาจฟรีในบางแพ็กเกจที่มีการใช้งานต่อเนื่อง
-
ค่าธรรมเนียมธุรกรรม: ค่าธรรมเนียมหลักของการรับบัตรเครดิตหรือเดบิต โดยเฉลี่ยในไทยอยู่ที่ 1%–3% ต่อรายการ (ขึ้นอยู่กับประเภทบัตรและข้อตกลงกับธนาคาร) บางกรณีผู้ให้บริการอาจเรียกเก็บเพิ่ม 7% VAT จากค่าธรรมเนียมนี้
-
ค่าธรรมเนียมประมวลผลต่อรอบ: ธนาคารบางแห่งอาจคิดค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเมื่อส่งยอดธุรกรรมประจำวันเพื่อประมวลผล โดยทั่วไปอยู่ที่ ไม่เกิน 5–10 บาทต่อรอบ หรือรวมอยู่ในค่าบริการรายเดือนแล้ว
-
ค่าธรรมเนียมเรียกเงินคืน: กรณีที่ลูกค้าร้องขอคืนเงินผ่านบริษัทบัตรเครดิต ธุรกิจอาจถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 200–1,000 บาทต่อรายการ ดังนั้นควรเก็บหลักฐานการขายและการชำระเงินไว้อย่างครบถ้วน
- ค่าปรับยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด: หากยกเลิกสัญญากับผู้ให้บริการก่อนครบกำหนด อาจมีค่าปรับ ประมาณ 2,000–10,000 บาท หรือเท่ากับค่าบริการรายเดือนของระยะเวลาที่เหลือในสัญญา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้ให้บริการ
วิธีเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าที่ง่ายที่สุด
1. เตรียมเอกสารที่จำเป็น
คุณจะต้องรวบรวมเอกสารและข้อมูลต่อไปนี้ให้ครบ
- ข้อมูลธุรกิจและชื่อบริษัท
- รายละเอียดการติดต่อ
- เอกสารแสดงระยะเวลาที่เปิดดำเนินธุรกิจ
- ข้อมูลบัญชีธนาคารของบริษัท
- งบการเงินหรือรายงานทางบัญชี
- ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือเลขทะเบียนนายจ้าง
- เอกสารด้านภาษี
💡 ทิปส์: หากคุณมีเครื่องมือหรือระบบรับบัตรเครดิตอยู่แล้ว แนะนำให้แจ้งข้อมูลนี้กับผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า เพื่อช่วยให้กระบวนการอนุมัติเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น
2. เลือกผู้ให้บริการ
ก่อนยื่นสมัคร ควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าให้เหมาะกับความต้องการของธุรกิจ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
- ค่าธรรมเนียมธุรกรรมและโครงสร้างราคา
- ระยะเวลาสัญญาและเงื่อนไขการยกเลิก
- คุณภาพการให้บริการลูกค้าและการช่วยเหลือทางเทคนิค
- ความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบที่ใช้อยู่ เช่น POS หรือร้านค้าออนไลน์
- ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณ
ผู้ให้บริการแต่ละรายมีจุดเด่นต่างกัน เช่น Shopify Payments ที่เชื่อมต่อกับร้านค้าออนไลน์บน Shopify ได้อย่างราบรื่น และไม่จำเป็นต้องใช้ผู้ให้บริการชำระเงินภายนอกเพิ่มเติม
3. สมัครเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า
เมื่อเตรียมข้อมูลธุรกิจครบแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นใบสมัครกับผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า โดยผู้ให้บริการอาจตรวจสอบประวัติเครดิตของทั้งเจ้าของธุรกิจและบริษัท เพื่อประเมินความมั่นคงทางการเงินของกิจการ
ในขั้นตอนนี้ อาจมีค่าธรรมเนียมการสมัครขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ ควรกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการอนุมัติ
💡 ทิปส์: อย่าลืมแนบจดหมายแนะนำไปพร้อมใบสมัคร ระบุว่าธุรกิจของคุณทำอะไร และเหตุผลที่ต้องการเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการเข้าใจลักษณะธุรกิจและพิจารณาได้รวดเร็วขึ้น
4. รออนุมัติและตั้งค่าบัญชี
ผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าจะตรวจสอบระดับความเสี่ยงของธุรกิจก่อนอนุมัติใบสมัคร โดยจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ระยะเวลาที่คุณดำเนินธุรกิจ
- ประวัติการชำระเงินว่ามีค้างชำระหรือเคยล้มละลายหรือไม่
- เคยมีบัญชีรับเงินเฉพาะสำหรับร้านค้ามาก่อนหรือไม่
- ประเภทของธุรกิจที่ดำเนินการ
โดยทั่วไป ธุรกิจที่รับชำระเงินด้วยตนเองที่หน้าร้านจะถูกมองว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าการรับชำระออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ ซึ่งมักมีโอกาสเกิดการทุจริตมากกว่า
ในขั้นตอนนี้ ควรตอบกลับคำขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือเอกสารจากผู้ให้บริการโดยเร็ว เพื่อไม่ให้กระบวนการล่าช้า การอนุมัติอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันถึงสองสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับโปรไฟล์ของธุรกิจและผู้ให้บริการ
เพื่อช่วยลดความเสี่ยง ผู้ให้บริการอาจตรวจสอบที่อยู่ของธุรกิจเพิ่มเติม หากธุรกิจของคุณอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำ ใบสมัครจะได้รับการอนุมัติทันที แต่หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง อาจได้รับการอนุมัติพร้อมค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า
วิธีเลือกผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าให้ตรงใจคุณ
เวลาเลือกผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า อย่าดูแค่ชื่อแบรนด์ มาดูปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณรับชำระเงินได้อย่างลื่นไหลและคุ้มค่าที่สุดพร้อมๆ กันด้านล่างนี้
ค่าธรรมเนียมและโครงสร้างราคา
อัตราค่าธรรมเนียมการรับบัตรเครดิตจะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกรรม ประเภทบัตรที่ใช้ และยอดธุรกรรมรวมต่อเดือนของร้านค้า คุณควรถามให้ชัดเจนว่าค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเป็นแบบ “เหมาจ่ายรายเดือน” หรือ “คิดตามเปอร์เซ็นต์ต่อยอดขาย”
นอกจากนี้ ยังควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมแฝง ที่ผู้ให้บริการบางรายอาจเรียกเก็บเพิ่มเติม เช่น
-
ค่าธรรมเนียมยกเลิกบริการ — จ่ายเมื่อเลิกใช้บริการรับบัตรเครดิต
-
ค่าปรับยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด — คิดเพิ่มหากยกเลิกก่อนครบกำหนดสัญญา
-
ค่าปรับไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย — เรียกเก็บหากไม่ทำตามข้อกำหนดความปลอดภัยในการจัดการข้อมูลบัตรเครดิต
-
ค่าธรรมเนียมการโต้แย้งรายการ — จ่ายเมื่อมีลูกค้าร้องขอคืนเงินโดยอ้างว่าไม่ได้ทำรายการนั้น
-
ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนแปลงข้อมูลบัญชี — สำหรับการอัปเดตชื่อธุรกิจหรือรายละเอียดบัญชีธนาคาร
- ค่าเช่าอุปกรณ์ — ค่าบริการรายเดือนสำหรับเครื่องรูดบัตรหรือเครื่อง POS ที่เช่าใช้งานแทนการซื้อขาด
ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มักถูกคิดแยกจากค่าธรรมเนียมการรับบัตร และอาจรวมกันจนเป็นต้นทุนก้อนใหญ่ได้ง่าย ก่อนเปิดบัญชีรับเงินร้านค้า ควรเปรียบเทียบผู้ให้บริการหลายราย และคำนวณต้นทุนจากยอดขายในแต่ละวันเพื่อประเมินค่าใช้จ่ายจริงอย่างรอบคอบ
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์
คุณต้องการเพียงแอปมือถือกับเครื่องอ่านบัตรแบบพกพา หรือจริงๆ แล้วจำเป็นต้องมีระบบ POS แบบครบวงจร? เลือกผู้ให้บริการที่มีอุปกรณ์ตรงกับความต้องการของร้าน และตั้งราคาในระดับที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องรูดบัตร เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ หรือแท็บเล็ตสำหรับแคชเชียร์
การบริการลูกค้า
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าเป็นระบบสำคัญที่คุณจะใช้อย่างต่อเนื่องในทุกวัน ดังนั้นควรเลือกผู้ให้บริการที่พร้อมช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือต้องการแก้ไขด่วน
ลองทดสอบคุณภาพบริการด้วยการโทรสอบถามในช่วงเวลาทำการที่มีลูกค้าเยอะๆ แล้วดูว่าเจ้าหน้าที่ตอบเร็วแค่ไหน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
การเชื่อมต่อระบบ
ลองดูว่าผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้ารองรับการเชื่อมต่อกับระบบไหนบ้าง และยืดหยุ่นพอสำหรับร้านของคุณหรือเปล่า เช่น ถ้าคุณใช้ Shopify คู่กับ Stripe ก็แทบไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม เพราะทั้งสองระบบทำงานร่วมกันได้แบบครบวงจร ตั้งแต่รับชำระเงิน ออกใบเสร็จ ไปจนถึงซิงก์ข้อมูลหลังบ้าน เพื่อให้ร้านค้าของคุณขยายได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด
ปริมาณธุรกรรม
เมื่อร้านเริ่มโตขึ้น ยอดขายและจำนวนรายการชำระเงินก็จะตามมาเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นควรเลือกผู้ให้บริการที่รองรับธุรกรรมได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะยอดเท่าไหร่ก็ไม่โดนบวกค่าธรรมเนียมเพิ่ม ให้คุณขยายร้านได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเพดานหรือข้อจำกัดใดๆ
ทิปส์สมัครบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า
แยกบัญชีธุรกิจออกจากบัญชีส่วนตัวให้ชัดเจน
อย่าเอาเรื่องเงินส่วนตัวมาปนกับเรื่องร้าน ถ้ายังไม่มีบัญชีธุรกิจ แนะนำให้เปิดไว้ก่อนเลย เพราะมันช่วยให้ผู้ให้บริการมองว่าธุรกิจคุณดูจริงจังและน่าเชื่อถือมากขึ้น แถมตอนทำบัญชีหรือยื่นภาษีก็จะง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องมานั่งงงว่ารายจ่ายไหนของร้าน รายจ่ายไหนของเรา
เตรียมเครดิตให้พร้อมก่อนสมัคร
เครดิตดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! ก่อนยื่นสมัคร ลองเช็กคะแนนเครดิตของทั้งคุณและธุรกิจว่ามีข้อมูลผิดพลาดไหม ถ้ามีรีบแก้ไว้เลย หรือถ้าคะแนนยังไม่สูงมาก อาจรอสักนิดเพื่อปรับให้ดีขึ้น เพราะเครดิตที่แข็งแรงช่วยให้ได้ค่าธรรมเนียมที่ดีกว่า และโอกาสอนุมัติเร็วขึ้นด้วย
เข้าใจว่าการอนุมัติต้องใช้เวลา
อย่าคาดหวังว่าจะได้อนุมัติทันที เพราะกระบวนการนี้อาจใช้เวลาประมาณ 2–4 สัปดาห์ ควรวางแผนเผื่อเวลาไว้ในช่วงเตรียมเปิดร้าน ระหว่างรอผลก็ใช้โอกาสนี้ปรับแต่งส่วนอื่นๆ ของธุรกิจให้พร้อม เช่น ตั้งค่าระบบหลังร้าน เตรียมสต๊อก หรืออัปเดตหน้าเว็บไซต์ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ทุกอย่างเดินต่อได้โดยไม่สะดุด
รู้จักโปรไฟล์ความเสี่ยงของธุรกิจตัวเอง
บางธุรกิจอย่างบริการสมัครสมาชิกหรือสินค้าดิจิทัลมักมีอัตรา chargeback สูง จึงถูกมองว่าเป็น “กลุ่มเสี่ยง” ถ้าธุรกิจของคุณอยู่ในประเภทนี้ ไม่ต้องเสียเวลายื่นกับผู้ให้บริการทั่วไปที่อาจปฏิเสธตั้งแต่ต้น
ให้มองหาผู้ให้บริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าสำหรับธุรกิจความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะ (High-risk merchant account provider) ซึ่งเข้าใจรูปแบบธุรกิจของคุณและมีโซลูชันที่เหมาะสม ถึงแม้ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่า แต่ช่วยให้คุณรับชำระเงินได้อย่างมั่นใจและต่อเนื่อง
ข้อดีของการมีบัญชีรับเงินเฉพาะสำหรับร้านค้า
ถ้าคุณไม่ได้ใช้โซลูชันแบบครบวงจรอย่าง Shopify Payments การมีบัญชีรับเงินของร้านค้าคือสิ่งจำเป็นในการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิต
แต่จริงๆ แล้ว บัญชีแบบนี้ให้ประโยชน์มากกว่านั้นอีกหลายข้อ ทั้งในแง่ยอดขาย ระบบเงินสด และประสบการณ์ลูกค้า
-
เพิ่มยอดขาย ในยุคที่คนใช้เงินสดน้อยลงทุกวัน การรับบัตรเครดิตช่วยให้ไม่เสียโอกาสการขาย ลูกค้าจ่ายง่ายขึ้น ธุรกิจก็ปิดการขายได้มากขึ้น
-
กระแสเงินสดดีขึ้น ยอดขายจะถูกโอนเข้าบัญชีภายใน 1–2 วันทำการ แทนที่จะต้องออกบิลให้ลูกค้าและรอรับเงินเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
-
จัดการเงินได้ง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องคอยนับแบงก์หรือเก็บเงินสดให้วุ่น เพียงใช้ระบบ POS เพื่อรับทุกการชำระเงินแบบดิจิทัล เงินเข้า-ออกชัดเจน จัดการได้สบาย
-
ประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ดีขึ้น ลูกค้าสามารถเลือกวิธีจ่ายที่สะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือช่องทางดิจิทัลอื่นๆ ทำให้ขั้นตอนจ่ายเงินรวดเร็วและไม่ติดขัด
- ความปลอดภัยสูงขึ้น ระบบ Payment Gateway ช่วยลดความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และปกป้องข้อมูลของทั้งร้านค้าและลูกค้าให้ปลอดภัยในทุกธุรกรรม
รับชำระเงินด้วยบัตรผ่านบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า (หรือ Shopify Payments)
ไม่ว่าคุณจะเปิดร้านหน้าร้านจริงหรือขายของออนไลน์ ธุรกิจของคุณก็ต้องมีวิธีรับชำระเงินจากลูกค้าอย่างสะดวกและปลอดภัย
วิธีแบบดั้งเดิมคือการเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า ซึ่งทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างบัญชีธนาคารของคุณกับธนาคารผู้ออกบัตรของลูกค้า ระบบนี้จะช่วยจัดการการชำระเงินและโอนยอดขายเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอลูกค้าชำระบัตรเครดิตด้วยตัวเอง
แต่ต้องไม่ลืมว่าธนาคารผู้ออกบัญชีรับเงินทุกแห่งจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรม ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลและเลือกประเภทบัญชีที่เหมาะกับลักษณะร้านและโครงสร้างราคาที่คุ้มค่าที่สุด
หรือจะเลือกใช้โซลูชันแบบครบวงจรอย่าง Shopify Payments ก็ได้เช่นกัน ระบบนี้รวมทุกฟังก์ชันของบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าไว้ในที่เดียว ตั้งแต่การประมวลผลการชำระเงินที่ปลอดภัย การโอนเงินรวดเร็ว ไปจนถึงอัตราค่าธรรมเนียมที่โปร่งใส ไม่มีขั้นตอนสมัครซับซ้อน ค่าธรรมเนียมจากผู้ให้บริการภายนอก หรือปัญหาการเชื่อมต่อระบบ
ที่สำคัญกว่านั้น Shopify Payments ยังช่วยให้ร้านค้าเห็นภาพรวมของลูกค้าทั้งจากช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ในที่เดียว สร้างประสบการณ์การซื้อขายที่ต่อเนื่อง เป็นส่วนตัว และช่วยเพิ่มความภักดีของลูกค้าได้ในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า
ตัวอย่างของบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าคืออะไร?
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า คือบัญชีธนาคารประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจรับชำระเงินจากลูกค้าผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได้ โดยมักเปิดผ่านธนาคารหรือผู้ให้บริการประมวลผลการชำระเงิน (Payment Processor) ตัวอย่างเช่น PayPal, Stripe, Square และ Authorize.net
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า ต่างจากบัญชีธุรกิจทั่วไปยังไง
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าใช้สำหรับรับและประมวลผลการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือช่องทางดิจิทัล โดยเปิดกับธนาคารหรือผู้ให้บริการชำระเงิน ส่วนบัญชีธุรกิจทั่วไปใช้บริหารจัดการการเงินของบริษัท เช่น ฝาก ถอน หรือโอนเงิน แต่ไม่ได้มีฟังก์ชันรับบัตรเครดิตโดยตรง
บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า ต่างจากผู้ให้บริการชำระเงินยังไง?
ทั้งสองอย่างมีหน้าที่คล้ายกัน คือช่วยให้ร้านค้ารับชำระเงินจากลูกค้าผ่านบัตรได้ แต่ต่างกันตรงที่ บัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า เป็นบัญชีธนาคารที่ใช้เก็บเงินจากลูกค้าโดยตรง ส่วน ผู้ให้บริการชำระเงิน (Payment Processor) คือระบบที่จัดการกระบวนการรับบัตรและส่งข้อมูลธุรกรรมระหว่างร้านค้า ธนาคาร และผู้ออกบัตร
จะเปิดบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้าได้อย่างไร?
เริ่มจากมองหาธนาคารหรือผู้ให้บริการที่มีบริการบัญชีรับเงินสำหรับร้านค้า จากนั้นกรอกใบสมัครแนบเอกสารสำคัญ เช่น เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และข้อมูลบัญชีธนาคารของธุรกิจ อาจมีค่าธรรมเนียมเปิดบัญชีหรือค่าตรวจสอบเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ


