หากคุณต้องการสร้างโรงเก็บของในสวนหลังบ้าน คุณสามารถเลือกซื้อโรงเก็บของที่สร้างเสร็จแล้ว จ้างผู้รับเหมา หรือสร้างเองโดยใช้แบบแปลนที่ซื้อมา
การใช้แพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source ก็คล้ายกัน นั่นคือแพลตฟอร์มเหล่านี้จะให้แบบแปลน (โค้ดต้นฉบับ) ที่จำเป็นในการพัฒนาเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ พร้อมความสามารถในการปรับแต่งที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ อย่างไรก็ตาม การใช้โปรแกรมทำเว็บขายของ open source ก็เหมือนกับการสร้างโรงเก็บของด้วยตัวเอง ที่ต้องการทักษะและเวลาในการทำงาน
หากคุณมีความรู้ทางเทคนิค หรือหากคุณวางแผนจะจ้างนักพัฒนาเว็บ แพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source จะช่วยให้คุณสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและปรับขนาดได้ตามที่คุณต้องการ แต่ก็อย่าคาดหวังผลลัพธ์ในชั่วข้ามคืน สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาการตั้งค่าที่รวดเร็ว ใช้งานง่าย และมีการสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ การเลือกใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบลากและวางของ Shopify พร้อมเทมเพลตสำเร็จรูปอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
โปรแกรมทำเว็บขายของ open source คืออะไร
โปรแกรมสร้างเว็บขายของ open source หมายถึงซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงโค้ดต้นฉบับได้อย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและแก้ไขฟังก์ชันต่างๆ ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซให้เหมาะกับความต้องการของคุณได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังให้คุณควบคุมการออกแบบและการทำงานของร้านค้าออนไลน์ของคุณได้ตามที่ต้องการ โปรแกรมทำเว็บขายของ open source มักจะ (แต่ไม่เสมอไป) สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี
โปรแกรมสร้างเว็บขายของ open source มีลักษณะยังไง
ขั้นตอนแรกในการใช้โซลูชันโปรแกรมทำเว็บขายของ open source คือการดาวน์โหลดโค้ดต้นฉบับ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม open source มักจะมีลิงก์ดาวน์โหลดโดยตรงบนเว็บไซต์ของพวกเขา บางรายอาจต้องการให้คุณสมัครสมาชิกฟรีก่อนที่จะสามารถดาวน์โหลดได้ แพลตฟอร์มหลายๆ ตัวสามารถหาได้จากไลบรารีโปรแกรมสำหรับทำเว็บขายของ open source ออนไลน์ เช่น SourceForge
การใช้โค้ดเพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์คือจุดที่ความซับซ้อนเริ่มเข้ามา ในขณะที่บางแพลตฟอร์มมีการตั้งค่าหน้าร้านแบบพื้นฐานสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิค แต่การใช้งานโปรแกรมที่ใช้ทำเว็บขายของ open source ให้เต็มที่นั้นอาศัยทักษะความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเว็บไซต์ หลายธุรกิจขนาดเล็กจึงเลือกที่จะจ้างนักพัฒนาเว็บมืออาชีพเพื่อช่วยในกระบวนการนี้
แพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source ส่วนใหญ่จะมีแอปพลิเคชันและส่วนขยายต่าง ๆ ที่เพิ่มฟังก์ชันการทำงานและตัวเลือกการปรับแต่ง คุณอาจจะเพิ่มแอปพลิเคชันการจัดการสินค้าคงคลังลงในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งผู้ใช้สามารถซื้อแอปพลิเคชันเหล่านี้ได้ผ่านตลาดแอปของบริษัท ตลาดหลายผู้ขาย หรือจากนักพัฒนาภายนอก หลายแพลตฟอร์มยังมี API เพื่อช่วยในการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันของบุคคลที่สาม หรือขยายความสามารถในการทำงานของอีคอมเมิร์ซ
เนื่องจากโปรแกรมเว็บขายของ open source ออกแบบมาเพื่อการปรับแต่ง นักพัฒนาเว็บที่มีความชำนาญสามารถปรับแพลตฟอร์มให้ตรงกับความต้องการของคุณได้ แต่การเขียนโค้ดและการดูแลรักษาด้านเทคนิคในระยะยาวอาจใช้เวลามาก ซึ่งอาจเบี่ยงเบนความสนใจจากภารกิจธุรกิจอื่น ๆ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและการขยายการดำเนินงาน
5 โปรแกรมทำเว็บขายของ open source ที่ดีที่สุด
มีแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source ให้เลือกมากมาย ตั้งแต่ปลั๊กอินตะกร้าสินค้าไปจนถึงระบบฟรอนต์เอนด์และแบ็กเอนด์ที่ผสานรวมอย่างสมบูรณ์ ต่อไปนี้คือ 5 ตัวเลือกยอดนิยมที่เจ้าของธุรกิจออนไลน์ไว้วางใจ ด้วยจุดเด่นด้านความง่ายในการใช้งานและฟังก์ชันการทำงานที่ทรงพลัง
1. WooCommerce
ที่มา: WooCommerce
WooCommerce เป็นปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซที่ออกแบบมาสำหรับเว็บไซต์ WordPress โดยเฉพาะ ภายในตัวปลั๊กอินจะมีฟังก์ชันหลักของระบบอีคอมเมิร์ซมาให้พร้อมใช้งาน แต่หากต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม จะต้องติดตั้งส่วนขยาย (extensions) ซึ่งหลายรายการมีค่าใช้จ่ายรายปี สำหรับผู้ใช้ WordPress ที่ต้องการระบบที่ไม่ต้องพึ่งปลั๊กอินมากนัก อาจพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น ฟีเจอร์ในตัวของ Shopify หรือการเชื่อมต่อผ่าน Buy Button Integration
การเชื่อมต่อ WooCommerce เข้ากับระบบจัดการเนื้อหาของ WordPress ทำได้ง่ายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการพัฒนาเว็บมาก่อน แต่หากต้องการปรับแต่งเชิงลึก จะต้องมีทักษะในการเขียนโปรแกรมภาษา PHP
ฟีเจอร์ของ WooCommerce ประกอบด้วย:
- ธีมฟรี 5 ธีม (และธีมแบบชำระเงินอีกนับพันธีม)
- การจัดเรียงสินค้า
- การคำนวณภาษีผ่านส่วนขยาย
- การประมวลผลการชำระเงินผ่านส่วนขยาย
- การจัดการสินค้าคงคลังผ่านส่วนขยาย
- เครื่องมือทางการตลาดผ่านส่วนขยาย
2. OpenCart
ที่มา: OpenCart
OpenCart เป็นแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source จากฮ่องกง ที่พัฒนาด้วยภาษา PHP แพลตฟอร์มนี้ใช้แนวคิดแบบ “core plus extensions” ซึ่งหมายความว่าฟีเจอร์หลักบางส่วนจะต้องติดตั้งส่วนขยายเพิ่มเติมเพื่อใช้งานได้ครบถ้วน ปัจจุบัน OpenCart มีไลบรารีส่วนขยายมากกว่า 13,000 รายการ ที่พัฒนาโดยชุมชนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความเสถียรและความเข้ากันได้ของแต่ละส่วนขยายอาจแตกต่างกันไปตามเวอร์ชันของซอฟต์แวร์
เจ้าของร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่จะต้องดาวน์โหลดส่วนขยายหลายรายการเพื่อให้ร้านทำงานได้ครบตามต้องการ โดยบางส่วนขยายมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากส่วนใหญ่พัฒนาโดยชุมชน จึงอาจมีบางส่วนขยายที่ไม่ได้รับการอัปเดตอย่างรวดเร็วเมื่อมีการปล่อยเวอร์ชันใหม่ของระบบ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้หรือสูญเสียฟังก์ชันสำคัญบางอย่างได้เมื่อต้องอัปเดตแพลตฟอร์ม
ฟีเจอร์ในตัวของ OpenCart ประกอบด้วย
- ธีมให้เลือกนับพัน รวมถึงธีมฟรีจำนวนมาก
- การชำระเงินผ่านเกตเวย์ต่าง ๆ (ติดตั้งผ่านส่วนขยาย)
- การจัดการหลายร้านค้า
- การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน
- รองรับสินค้าจำนวนไม่จำกัดและหมวดหมู่ไม่จำกัด
- ระบบกรองและจัดเรียงสินค้า
- รองรับหลายสกุลเงิน (ผ่านส่วนขยาย)
- ระบบจัดส่งแบบบูรณาการ(ผ่านส่วนขยาย)
- รองรับการสั่งซื้อแบบต่อเนื่อง
3. NopCommerce
ที่มา: NopCommerce
NopCommerce เป็นแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source ฟรีจากประเทศอาร์เมเนีย ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และองค์กรขนาดใหญ่ พัฒนาอยู่บนเฟรมเวิร์ก ASP.NET ของ Microsoft โดยใช้ภาษา C# จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีของ Microsoft อยู่แล้ว
แพลตฟอร์มนี้มีให้เลือกดาวน์โหลด 2 รูปแบบ ได้แก่ เวอร์ชัน Source Code สำหรับนักพัฒนาเว็บที่ต้องการปรับแต่งเชิงลึก เวอร์ชัน One-Click Install สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคขั้นสูงแม้ว่า NopCommerce จะมีส่วนขยายให้เลือกใช้งานมากมาย แต่การปรับแต่งหรือการเชื่อมต่อระบบเพิ่มเติมมักต้องอาศัยนักพัฒนา แม้จะเป็นการตั้งค่าระดับพื้นฐานก็ตาม
ฟีเจอร์ของ NopCommerce ประกอบด้วย:
- ระบบจัดการเนื้อหา
- ส่วนขยายมากกว่า 1,500 รายการ
- การจัดการหลายร้านค้า
- การขายแบบหลายช่องทาง
- รองรับระบบ Headless Functionality เพื่อเชื่อมต่อกับ Front-end ที่ยืดหยุ่น
4. Magento
ที่มา: Magento
Magento Open Source เป็นแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source ที่พัฒนาด้วยภาษา PHP เดิมสร้างโดยบริษัท Magento และภายหลังถูกเข้าซื้อโดย Adobe ในปี 2018 ซึ่ง Adobe ได้นำโค้ดหลักเดียวกันนี้ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับองค์กรในชื่อ Adobe Commerce ส่วนเวอร์ชัน open source ยังคงเปิดให้ดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรีผ่าน GitHub
Magento Open Source เป็นแพลตฟอร์มโปรแกรมใช้ทำเว็บขายของ open source ที่มีความยืดหยุ่นสูงแต่ก็มีความซับซ้อนมากกว่าแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บ open source ทั่วไป ผู้ใช้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคอาจจำเป็นต้องจ้างนักพัฒนาเว็บเพื่อใช้ประโยชน์จากความสามารถของระบบได้อย่างเต็มที่
ฟีเจอร์ของ Magento ประกอบด้วย:
- ระบบจัดการเนื้อหา
- ระบบวิเคราะห์และรายงานผล
- การจัดการแค็ตตาล็อกสินค้า
- เครื่องมือปรับแต่งสำหรับ SEO
- แผงควบคุมส่วนกลางสำหรับการจัดการการดำเนินงาน
- การจัดการหลายร้านค้า
- ระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน
5. Zen Cart
ที่มา: Softaculous
Zen Cart เป็นระบบตะกร้าสินค้าแบบ open source ที่พัฒนาด้วยภาษา PHP ซึ่งช่วยเพิ่มฟังก์ชันอีคอมเมิร์ซให้กับเว็บไซต์ที่มีอยู่แล้ว โดย Zen Cart มาพร้อมกับหน้าร้านในตัว และสามารถขยายความสามารถได้ผ่าน Add-ons มากกว่า 2,000 รายการ ทั้งแบบฟรีและแบบชำระเงิน
เนื่องจากการติดตั้ง Zen Cart บนเว็บไซต์เดิมต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิค จึงเหมาะกับเจ้าของธุรกิจที่มีแผนจะจ้างนักพัฒนาเว็บเพื่อช่วยปรับแต่งระบบ มากกว่าผู้ที่ต้องการโซลูชันที่ใช้งานได้ง่ายกว่า
ฟีเจอร์ของ Zen Cart ประกอบด้วย:
- รองรับการตั้งราคาขายส่งและบัญชีลูกค้าแบบ B2B
- รองรับหลายภาษา
- รองรับหลายสกุลเงิน
- เครื่องมือ SEO
- ระบบรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล
โปรแกรมทำเว็บขายของ open source vs. โปรแกรมทำเว็บขายของแบบ SaaS
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซหลัก ๆ มีอยู่สองประเภทคือ open source และซอฟต์แวร์แบบบริการ (SaaS – Software-as-a-Service)
SaaS เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานบนคลาวด์ ทำให้คุณสามารถเข้าถึงและใช้งานซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์แบบสมัครสมาชิกผ่านอินเทอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น Shopify
ทั้งสองประเภทสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ปลอดภัยและใช้งานง่ายได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันในด้าน โครงสร้างค่าธรรมเนียม ความสามารถในการปรับแต่ง และระดับความรู้ทางเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการตั้งค่าและดูแลรักษาเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย
- ความคล้ายคลึงกัน แม้โปรแกรมทำเว็บขายของ open source มักดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี แต่การตั้งค่าและดำเนินร้านค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะใช้แพลตฟอร์ม open source หรือ SaaS ย่อมมีค่าใช้จ่ายอยู่ดี (อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์ม SaaS หลายตัว เช่น Shopify มีช่วงทดลองใช้ฟรีให้ทดลองใช้งาน)
- ความแตกต่าง โปรแกรมสร้างเว็บขายของ open source แม้ดาวน์โหลดได้ฟรี แต่คุณต้องวางงบประมาณสำหรับค่าโฮสติ้ง การพัฒนาเว็บและส่วนขยายแบบชำระเงิน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในทางกลับกันแพลตฟอร์ม SaaS มีค่าบริการสมัครสมาชิกที่ชัดเจน ซึ่งโดยมากรวมค่าโฮสติ้ง ความปลอดภัย และการอัปเดตระบบอย่างต่อเนื่องไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถคาดการณ์ค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า
การปรับแต่ง
- ความคล้ายคลึงกัน ทั้งแพลตฟอร์ม SaaS และ open source ต่างก็รองรับการปรับแต่ง ฟีเจอร์เสริม และส่วนขยาย
- ความแตกต่าง. โปรแกรมทำเว็บขายของ open source สามารถปรับแต่งได้ไม่จำกัดในทางทฤษฎี — เพียงคุณหรือผู้พัฒนามีความรู้ทางเทคนิคเพียงพอ ส่วนแพลตฟอร์ม SaaS มีพารามิเตอร์สำหรับปรับแต่งในตัว แต่ตัวเลือกมีจำกัดมากกว่า
การแสดงผล
- ความคล้ายคลึงกัน ทั้งแพลตฟอร์ม SaaS และ open source ให้ผู้ใช้เลือกตัวเลือกการแสดงผลหลากหลาย เพื่อกำหนดรูปลักษณ์และความรู้สึกของอินเทอร์เฟซ นอกจากนี้หลายแพลตฟอร์มยังมาพร้อม ธีมสำเร็จรูปหรือเทมเพลตสำหรับหน้าเว็บ
- ความแตกต่าง แพลตฟอร์ม open source นักพัฒนาสามารถปรับแต่งโค้ดต้นฉบับเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกองค์ประกอบของการแสดงผลได้อย่างอิสระ แต่ SaaS ผู้ใช้ที่มีความรู้ทางเทคนิคจำกัด สามารถปรับแต่งการแสดงผลได้ภายในพารามิเตอร์ที่กำหนดไว้เท่านั้น
ความปลอดภัย
- ความคล้ายคลึงกัน ทั้งแพลตฟอร์ม SaaS และ open source ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ปกป้องข้อมูลลูกค้า และสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ปลอดภัย
- ความแตกต่าง SaaS มาพร้อมมาตรการความปลอดภัยในตัว มีการตรวจสอบและปรับปรุงซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อตามเทคโนโลยีล่าสุด และหลายแพลตฟอร์มยังรองรับมาตรฐาน PCI Compliance ซึ่งยืนยันว่าเว็บไซต์มีการจัดการข้อมูลบัตรเครดิตอย่างปลอดภัย แพลตฟอร์ม open source ผู้ใช้ต้องติดตั้งอัปเดต รักษามาตรฐาน PCI และตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ด้วยตัวเอง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมทำเว็บขายของ open source
โปรแกรมสร้างเว็บขายของ open source คืออะไร
โปรแกรมสำหรับทำเว็บขายของ open source คือซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซที่เปิดให้ผู้ใช้เข้าถึง โค้ดต้นฉบับทั้งหมดของระบบ โดยซอฟต์แวร์ประเภทนี้มักดาวน์โหลดได้ฟรี แต่โดยปกติแล้วจะไม่รวมบริการโฮสติ้ง ส่วนขยาย และการสนับสนุนการพัฒนาเว็บ
Shopify เป็นแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source หรือไม่
Shopify เป็นแพลตฟอร์ม SaaS แบบปิด ผู้ใช้ต้องจ่ายค่าบริการแบบรายเดือนเพื่อใช้งาน
ตัวอย่างแพลตฟอร์มโปรแกรมทำเว็บขายของ open source มีอะไรบ้าง
มีแพลตฟอร์ม open source หลายตัวที่ได้รับความนิยม เช่น
- Magento
- WooCommerce
- Open Cart
- Odoo
- Sylius
- Saleor
- PrestaShop
- NopCommerce
- Medusa
- Drupal Commerce
เราสามารถสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซได้ฟรีหรือไม่
แพลตฟอร์ม open source อย่าง WooCommerce หรือ OpenCart มีซอฟต์แวร์ให้ใช้ฟรี แต่การสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่พร้อมใช้งานจริงยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น โฮสติ้ง การจดทะเบียนโดเมน การประมวลผลการชำระเงิน ใบรับรองความปลอดภัย และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทางเทคนิคเพื่อตั้งค่าและปรับแต่งร้านค้าของคุณ


