ถ้าคุณเคยเจอสถานการณ์เช็กเอาต์ด้วยตัวเองแล้วสแกนสินค้าไม่ติด จนเครื่องขึ้นแจ้งว่า “กรุณาเรียกพนักงาน” นั่นแหละคือการเจอกับ Universal Product Codes (UPCs) หรือรหัสสินค้าแบบสากล UPC บาร์โค้ดเหล่านี้อยู่รอบตัวเราทุกที่ ตั้งแต่กล่องไข่ไปจนถึงสนีกเกอร์ และถูกใช้งานมานานกว่า 50 ปีแล้ว
ร้านค้าปลีกแบบหน้าร้านพึ่งพา UPC เพื่อให้การคิดเงินรวดเร็วและจัดการสต็อกได้แม่นยำ แต่สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็ก การใช้ UPC อาจมีความซับซ้อนมากกว่าเล็กน้อย
อ่านต่อเพื่อทำความเข้าใจว่า UPC ทำงานอย่างไร แตกต่างจากรหัสสแกนอื่น ๆ อย่างไร และธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณจำเป็นต้องใช้ UPC Code หรือไม่
UPC Code คืออะไร?
UPC หรือ Universal Product Code คือบาร์โค้ดแบบ 12 หลักที่ใช้ระบุสินค้าและผู้ผลิต ร้านค้าปลีกและผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (เช่น คลังสินค้า) จะสแกน UPC เหล่านี้เพื่อดึงข้อมูลราคาและติดตามสต็อกสินค้า UPC ถือเป็นระบบมาตรฐานสำหรับการระบุสินค้าที่พัฒนาและดูแลโดยองค์กร Global Standards Organization (GS1) ซึ่งในเชิงเทคนิคมักเรียกว่า “UPC-A barcodes”
UPC จะไม่เฉพาะเจาะจงกับสินค้าชิ้นเดียว แต่จะใช้กับประเภทสินค้านั้น ๆ ตัวอย่างเช่น รองเท้าผ้าใบรุ่นเดียวกัน ขนาดเดียวกัน และสีเดียวกัน 2 คู่ จะใช้รหัส UPC เดียวกัน
ในอุตสาหกรรมค้าปลีก พนักงานจะสแกน UPC เพื่อทำให้กระบวนการคิดเงินรวดเร็วขึ้น และรักษาข้อมูลสต็อกให้เป็นปัจจุบัน ส่วนในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ UPC ช่วยสร้างประโยชน์หลายด้าน เช่น
-
การจัดการสต็อก: UPC ช่วยให้ติดตามสินค้าได้ง่ายขึ้น รู้ว่าสินค้าตัวไหนขายไปแล้ว และตัวไหนต้องเติมสต็อก อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลอย่างวันหมดอายุ เพื่อช่วยจัดการซัพพลายเชนได้อย่างถูกต้อง
-
ความแม่นยำในการจัดส่ง: หากคุณใช้คลังสินค้าในการแพ็กสินค้า UPC จะช่วยให้พนักงานหยิบและแพ็กได้ถูกต้อง เมื่อสแกน UPC ข้อมูลสินค้าที่เกี่ยวข้องจะปรากฏขึ้นบนเครื่องอ่านทันที
- มาตรฐานสากล: UPC เป็นระบบบาร์โค้ดที่ใช้ทั่วโลก ดังนั้นหากคุณขายสินค้าผ่านทั้งอีคอมเมิร์ซมาร์เก็ตเพลสและร้านค้าปลีก คุณมั่นใจได้ว่าผู้ค้าต่าง ๆ (ส่วนใหญ่) ใช้ UPC เป็นมาตรฐาน และหลายแห่งอาจกำหนดให้คุณต้องมี UPC สำหรับสินค้าของคุณด้วย
UPC Code ในบริบทของประเทศไทย
แม้ว่า UPC (12 หลัก) จะถูกใช้เป็นมาตรฐานหลักในสหรัฐฯ และอเมริกาเหนือ แต่ในประเทศไทยและประเทศในยุโรป มักใช้รหัส EAN-13 (European Article Number) แทน ซึ่งถือเป็นมาตรฐานบาร์โค้ดที่ใกล้เคียงกับ UPC เพียงแต่มีความยาว 13 หลักแทน 12 หลัก
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการในไทยที่ทำธุรกิจเฉพาะภายในประเทศ การขอ EAN-13 ผ่าน GS1 Thailand (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) มักจะตอบโจทย์มากกว่า แต่หากคุณมีแผนจะขายสินค้าไปยังสหรัฐฯ หรือแพลตฟอร์มอย่าง Amazon การมี UPC Code ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
เราจำเป็นต้องมี UPC Code สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมั้ย?
ถ้าคุณทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็ก ขายตรงให้ลูกค้า และส่งสินค้าจากบ้าน UPC Code อาจยังไม่จำเป็นต้องใช้ รวมถึงกรณีที่คุณมีคลังสินค้าของตัวเอง คุณก็อาจสร้างระบบบาร์โค้ดภายในเพื่อจัดการสินค้าได้
แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ UPC Code ถือว่าจำเป็นมาก
-
ต้องการขายสินค้าให้ร้านค้าปลีกหรือค้าส่ง เพื่อให้พนักงานร้านหรือคู่ค้าสามารถสแกนและจัดการสต็อกได้
-
ต้องการขายบนมาร์เก็ตเพลสใหญ่ ๆ เช่น Amazon ซึ่งบังคับให้มี UPC Code
-
ทำงานร่วมกับบริษัทกระจายสินค้าหรือคลังสินค้าบุคคลที่สาม (3PL) ที่ใช้ UPC เพื่อติดตามสต็อก
สรุปคือ ตอนเริ่มต้นอาจไม่จำเป็น แต่ถ้าคุณมีเป้าหมายขยายธุรกิจไปยังร้านค้าปลีกหรือมาร์เก็ตเพลสในอนาคต การมี UPC Code จะช่วยให้เติบโตได้ง่ายและเป็นระบบมากขึ้น
ส่วนประกอบของ UPC
GTIN (Global Trade Item Number) และ UPC รวมกันกลายเป็นบาร์โค้ดที่สมบูรณ์ UPC คือเส้นดำเรียงต่อกัน ส่วน GTIN คือชุดตัวเลขที่พิมพ์อยู่ด้านล่าง เมื่อนำมาใช้ร่วมกับระบบ Point-of-Sale (POS) หรือซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันสแกน ก็สามารถดึงข้อมูลสินค้าได้ทันที
GTIN แบบ 12 หลัก แบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยแต่ละส่วนเข้ารหัสข้อมูลที่แตกต่างกันของสินค้า ดังนี้
1. รหัสบริษัทผู้ผลิต
ตัวเลข 6 หลักแรก คือหมายเลขระบุตัวผู้ผลิต (Manufacturer Identification Number) ซึ่งไม่ซ้ำกัน ใช้ระบุว่าผลิตภัณฑ์นั้นผลิตโดยใคร
2. รหัสสินค้า
ตัวเลข 5 หลัดถัดมา คือหมายเลขสินค้าที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละรุ่นย่อย ตัวอย่างเช่น สมาร์ทโฟนรุ่นเดียวกันแต่เวอร์ชัน 16GB จะมีหมายเลขสินค้าที่ต่างจากเวอร์ชัน 32GB
3. เลขตรวจสอบ
ตัวเลขหลักสุดท้ายของ GTIN คือ Check Digit ซึ่งคำนวณจากอัลกอริทึมที่ซับซ้อนโดยใช้ตัวเลข 11 หลักก่อนหน้า (สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้บนเว็บไซต์ GS1) Check Digit มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของ UPC ถ้าคำนวณผิด UPC จะไม่สามารถสแกนได้อย่างถูกต้อง
UPC เทียบกับรหัสสินค้าประเภทอื่น
UPC เป็นเพียงหนึ่งในหลายประเภทของรหัสสินค้า องค์กร GS1 ได้พัฒนาบาร์โค้ดหลายรูปแบบ และบางบริษัทก็อาจใช้รหัสภายในที่เรียกว่า SKU นอกจากนี้ อุตสาหกรรมแต่ละประเภท ตั้งแต่อาหารสดไปจนถึงอิเล็กทรอนิกส์ ก็มักมีระบบบาร์โค้ดของตัวเอง มาดูกันว่ารหัสอื่น ๆ ที่ใช้กันทั่วไปมีอะไรบ้าง
SKU
SKU หรือ Stock Keeping Unit (หน่วยเก็บสต็อก) คือรหัสระบุสินค้าภายในองค์กร ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข GS1 ไม่ได้เป็นผู้แจกจ่าย SKU เนื่องจากแต่ละบริษัทจะสร้างขึ้นเองเพื่อใช้ติดตามสินค้าเฉพาะภายในเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณทำธุรกิจน้ำอัดลมแบบ DTC (Direct-to-Consumer) และต้องการให้คลังสินค้าจัดการได้ง่ายขึ้น คุณอาจสร้างระบบ SKU โดยใช้ตัวอักษรแทนรสชาติ และใช้ตัวเลขแทนวันหมดอายุ วิธีนี้ช่วยให้พนักงานจัดเรียงสินค้าได้รวดเร็วขึ้น และรู้ว่าสินค้าชุดไหนควรส่งออกก่อนโดยไม่ต้องใช้เครื่องสแกน
EAN
EAN หรือ European Article Number คือเวอร์ชันยุโรปของ UPC โดยต่างกันตรงที่ EAN ใช้ตัวเลข 13 หลัก ในขณะที่ UPC ใช้ 12 หลัก ตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา เครื่องสแกนบาร์โค้ดในสหรัฐฯ ถูกกำหนดให้ต้องสามารถอ่านได้ทั้ง UPC และ EAN
ASIN
ASIN ย่อมาจาก Amazon Standard Identification Number เป็นรหัสเฉพาะที่ใช้บนแพลตฟอร์ม Amazon เท่านั้น สินค้าทุกชิ้นที่ขายบนเว็บไซต์จะมี ASIN ของตัวเอง เพื่อให้ Amazon สามารถติดตามและจัดการสินค้านับล้านรายการในมาร์เก็ตเพลสได้อย่างมีระบบ
UPC-E
UPC-E คือเวอร์ชันย่อของ UPC-A ใช้เพียง 6 หลัก เหมาะสำหรับสินค้าที่มีพื้นที่เล็กเกินกว่าจะพิมพ์บาร์โค้ดยาวได้ เช่น ถ้วยโยเกิร์ตหรือเครื่องสำอาง
ISBN
ISBN คือระบบบาร์โค้ดที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนังสือ ความยาวของรหัสอยู่ที่ 10–13 หลัก (ขึ้นอยู่กับว่าถูกกำหนดก่อนหรือหลังปี 2007) ISBN ใช้ระบุรายละเอียดของหนังสือ เช่น สำนักพิมพ์ รุ่นพิมพ์ รวมถึงลักษณะทางกายภาพ เช่น ประเภทการเข้าเล่มและจำนวนหน้า
แล้วผู้ประกอบการไทยควรใช้ UPC หรือ EAN?
- ถ้าเน้นขายในไทยและภูมิภาค EAN-13 คือมาตรฐานที่เหมาะสมที่สุด
- ถ้ามีแผนขยายไปตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะการขายบน Amazon หรือ Walmart คุณจำเป็นต้องมี UPC Code
- ธุรกิจที่ขายทั้งในไทยและต่างประเทศอาจต้องใช้ ทั้ง UPC และ EAN ควบคู่กัน ขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มและประเทศเป้าหมาย
วิธีการขอรหัส UPC
น่าเสียดายที่คุณไม่สามารถสร้าง UPC Barcode เองได้ เพื่อให้รหัสไม่ซ้ำกันและใช้งานได้จริง คุณจำเป็นต้องซื้อจาก GS1 เท่านั้น โดยขั้นตอนมีดังนี้
1. กำหนดจำนวน UPC Barcode ที่ต้องใช้
เริ่มจากประเมินจำนวนรหัสที่ต้องการ โดยคำนึงถึงจำนวนสินค้าที่คุณขาย รวมถึงความแตกต่างในแต่ละรุ่น เช่น ขนาด สี หรือคุณสมบัติอื่น ๆ จำไว้ว่า สินค้าแต่ละรุ่นย่อย (Variant) ต้องมี UPC Barcode แยกต่างหากเสมอ
2. เข้าเว็บไซต์ GS1 และเลือกตัวเลือกที่เหมาะกับคุณ
เริ่มต้นจากการเข้าไปที่หน้าสมัครขอ UPC ของ GS1 ซึ่งมีหลายวิธีในการซื้อ UPC เช่น
- ซื้อ GTIN แบบรายชิ้น เหมาะกับผู้ที่มีสินค้าจำนวนไม่มาก
- สมัคร Company Prefix ของ GS1 หากคุณมีหลายสินค้า (หรือคาดว่าจะมีในอนาคต) การมี Company Prefix จะช่วยให้คุณสามารถสร้าง GTIN ได้หลายรหัส โดยมีหมายเลขระบุตัวผู้ผลิตเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามสินค้า
เมื่อเลือกใช้ Company Prefix คุณจะต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปี และจะได้สิทธิ์เข้าถึงเครื่องมือออนไลน์สำหรับสร้างบาร์โค้ดด้วยตนเอง
GS1 Thailand คือใคร?
ในประเทศไทย การออกหมายเลขบาร์โค้ดมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็น UPC หรือ EAN ดูแลโดย GS1 Thailand ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- ผู้ประกอบการสามารถสมัครสมาชิกกับ GS1 Thailand เพื่อขอรหัส GTIN (Global Trade Item Number) สำหรับสินค้า
- GS1 Thailand จะเป็นผู้กำหนด Prefix ของบริษัท เพื่อให้รหัสสินค้าของคุณไม่ซ้ำกับใครในโลก
- นอกจากนี้ GS1 ยังมีบริการอบรมและให้คำปรึกษาด้านการใช้บาร์โค้ดกับระบบโลจิสติกส์และอีคอมเมิร์ซ
วิธีการขอรหัส UPC/EAN ในไทย
สำหรับผู้ประกอบการไทย หากต้องการรหัส UPC หรือ EAN เพื่อใช้กับสินค้า สามารถดำเนินการได้ผ่าน GS1 Thailand (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. สมัครสมาชิก GS1 Thailand
ผู้ประกอบการต้องสมัครเป็นสมาชิก GS1 Thailand ก่อน เพื่อรับสิทธิ์ในการใช้หมายเลขบาร์โค้ดสากล
2. เลือกรูปแบบการขอรหัส
หากมีสินค้าน้อย สามารถขอรหัส GTIN รายชิ้น แต่หากมีสินค้าหลาหลาย ควรสมัคร Company Prefix เพื่อให้สามารถสร้างรหัสได้จำนวนมากและต่อเนื่อง
3. ชำระค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงรายปี
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับประเภทสมาชิกและจำนวนรหัสที่ต้องการใช้งาน
4. เริ่มใช้งานรหัสบาร์โค้ด
เมื่อได้รับรหัสแล้ว สามารถนำไปพิมพ์บนบรรจุภัณฑ์หรือใช้คู่กับระบบ POS และระบบคลังสินค้าได้ทันที
คำถามที่พบบ่อยที่เกี่ยวกับ UPC code
UPC code คืออะไร
UPC หรือ Universal Product Code คือรหัสตัวเลขประจำสินค้าแบบเข้ารหัสที่สามารถสแกนได้ เพื่อแสดงข้อมูลเฉพาะของสินค้าแต่ละชิ้น UPC ใช้ในการระบุและติดตามสินค้าตลอดกระบวนการขาย จัดส่ง และรับสินค้า
จะขอ UPC ได้ยังไง
- กำหนดจำนวน UPC Barcode ที่ต้องใช้
- เข้าเว็บไซต์ GS1
- เลือกแพ็กเกจที่เหมาะสม
- กรอกข้อมูลและชำระเงิน
สินค้าทุกชนิดต้องมี UPC หรือไม่?
สินค้าปลีกส่วนใหญ่จะมี UPC เพื่อช่วยให้การคิดเงินรวดเร็วและจัดการสต็อกได้แม่นยำ แต่สินค้าที่ทำมือ เช่น งานศิลปะ หรืออาหารท้องถิ่น มักไม่มี UPC รวมถึงสินค้าที่ขายออนไลน์โดยจัดส่งเองโดยไม่ผ่านคลังสินค้า หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมี UPC
จะค้นหาข้อมูลจาก UPC ได้ยังไง?
คุณสามารถใช้ฐานข้อมูล เช่น Barcode Lookup หรือ Scandit เพื่อตรวจสอบ UPC ได้ เพียงกรอกหมายเลข UPC จากสินค้าของคุณ ระบบก็จะแสดงรายละเอียดออกมา
สามารถหาหมายเลข UPC ของสินค้าได้ที่ไหน?
คุณจะพบ Universal Product Code (UPC) ของสินค้าได้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ โดยปกติรหัส UPC จะถูกวางในตำแหน่งที่เห็นได้ชัด เพื่อให้พนักงานร้านค้าหรือคลังสินค้าสแกนได้ง่าย
GS1 Thailand คืออะไร?
GS1 Thailand คือหน่วยงานภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มีหน้าที่ออกหมายเลขบาร์โค้ดสากล (ทั้ง UPC และ EAN) ให้แก่ผู้ประกอบการไทย เพื่อใช้ระบุสินค้าในระบบค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และโลจิสติกส์
GS1 Thailand ตั้งอยู่ที่ไหน?
สำนักงาน GS1 Thailand ตั้งอยู่ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ) ผู้ประกอบการสามารถติดต่อสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลผ่านเว็บไซต์อย่างเป็นทางการได้โดยตรง
ค่าธรรมเนียมขอรหัส UPC/EAN ในไทยเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับประเภทสมาชิกและจำนวนรหัสที่ต้องการใช้ โดยทั่วไปจะมีทั้งค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าบำรุงรายปี ราคาจะต่างกันระหว่างการขอรหัส GTIN รายชิ้น และการสมัครแบบ Company Prefix สำหรับหลายสินค้า
ควรเลือก UPC หรือ EAN สำหรับธุรกิจในไทย?
- ถ้าเน้นขายในไทยหรือยุโรป ใช้ EAN-13
- ถ้ามีแผนขายในสหรัฐฯ หรือบนแพลตฟอร์มอย่าง Amazon จำเป็นต้องมี UPC
- หากขายทั้งในและต่างประเทศ อาจต้องใช้ ทั้งสองแบบ ตามเงื่อนไขของตลาดเป้าหมาย
จะสมัคร GS1 Thailand ได้อย่างไร?
เพียงสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์ GS1 Thailand กรอกข้อมูลบริษัท เลือกประเภทหมายเลขที่ต้องการ ชำระค่าธรรมเนียม จากนั้นคุณจะได้รับสิทธิ์ในการสร้างรหัส UPC/EAN สำหรับสินค้าได้ทันที


