คุณทำงานหนักเพื่อโปรโมทบริษัทของคุณ คุณเขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์ ปรับแต่งภาพ และแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต (SEO) ทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ คุณต้องการปรับปรุง SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซ ให้ดียิ่งขึ้น และ Meta Description เป็นโอกาสที่ดีในการทำเช่นนั้น อ่านบทความนี้ต่อเพื่อเรียนรู้ว่า Meta Description คืออะไร และวิธีการเขียน Meta Description อย่างน่าสนใจและปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณสำหรับเครื่องมือค้นหา
Meta Description คืออะไร
Meta Description เป็นสรุปสั้นๆ ของเนื้อหาหน้าเว็บที่ปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) แม้ว่า Meta Description ไม่ได้เป็นปัจจัยการจัดอันดับโดยตรงสำหรับ SEO แต่ก็สามารถมีผลต่ออัตราการคลิก (CTR) และส่งผลกระทบต่ออันดับของคุณได้โดยอ้อม
วัตถุประสงค์หลักของ Meta Description คือการดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหา มันช่วยให้ผู้ใช้ตัดสินใจว่าจะคลิกที่หน้าเว็บของคุณหรือเลื่อนผ่านไป Meta Description ที่ดีจะให้ข้อมูลและสื่อสารว่า ผู้ค้นหาจะพบอะไรหากคลิกเข้ามา เครื่องมือค้นหามักจะใช้ Meta Description ในการแสดงผลในส่วนที่อยู่ใต้ชื่อหน้าในผลการค้นหา
ในภาพหน้าจอด้านล่าง Meta Description อ่านว่า “ลองใช้ Shopify ฟรีและเริ่มต้นธุรกิจหรือขยายธุรกิจที่มีอยู่ สัมผัสสิ่งที่เป็นมากกว่าซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซ เพราะมีเครื่องมือในการจัดการทุกส่วนของธุรกิจของคุณ”

ความสำคัญของ Meta Description ใน SEO
Meta Description คือคำมั่นสัญญาที่คุณมอบให้กับผู้ค้นหา มันทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนจากหน้าเว็บคู่แข่งจำนวนมาก และบอกว่า "นี่คือหน้าเว็บที่คุณกำลังมองหา"
คำอธิบายเมตาที่รวมคำหลัก (Keywords) ที่เกี่ยวข้อง มีแนวโน้มที่จะปรากฏในผลการค้นหามากขึ้น คำอธิบายเมตาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาด SEO ภายในหน้า (หรือที่เรียกว่า on-page SEO) ที่มีประสิทธิภาพ โดยการดึงดูดให้ผู้ใช้งานการค้นหากดคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บนั้น คุณจะเห็นคำอธิบายเมตาเหล่านี้ในโค้ดของหน้าเว็บในลักษณะ <meta name="description" content="a written description of the page">
เมื่อคุณพิมพ์คำค้นหาลงใน Google Search ลองใช้คำว่า "รอยสักชั่วคราว" เป็นตัวอย่าง อัลกอริทึมจะแสดงผลลัพธ์บนหน้าผลการค้นหา (SERP)
ในภาพด้านล่าง คำที่อยู่ด้านบนคือ แท็กชื่อเรื่อง ซึ่งในกรณีนี้คือ ‘รอยสักชั่วคราว' เทรนด์ยอดนิยมของเหล่าเซเลบริตี้ที่จะเปลี่ยนลุค" ส่วนด้านล่างนั้นคือ คำอธิบายเมตา ซึ่งเป็นส่วนที่อธิบายหน้าเว็บที่เชื่อมโยงในความยาวประมาณ 150 ถึง 160 ตัวอักษร

ความยาวที่เหมาะสมสำหรับ Meta Description คือเท่าไหร่
ในทางเทคนิคแล้ว คุณสามารถกำหนดความยาวของ Meta Description ได้ตามต้องการ แต่หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดคือการกำหนดให้อยู่ในช่วง 150 ถึง 160 ตัวอักษร หากยาวเกินไป เครื่องมือค้นหาอาจจะตัดคำอธิบายออก ทำให้ข้อมูลสำคัญถูกซ่อนไป หากสั้นเกินไป ผู้อาจจะไม่พบรายละเอียดที่มากพอที่จะดึงดูดให้คลิกได้
บางครั้งเครื่องมือค้นหาอาจจะเขียน Meta Description ใหม่ ดังนั้นการรวมคำหลักเข้าไปด้วยจึงเป็นความคิดที่ดี เพราะจะช่วยลดโอกาสที่จะถูกเขียนใหม่ ควรใส่คำหลักและข้อมูลสำคัญอื่นๆ ไว้ตั้งแต่ต้น เผื่อในกรณีที่ Meta Descriptionถูกตัดทอน และต้องมั่นใจว่าเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณมีคุณค่าจริง สิ่งนี้หมายความว่า Meta Description ที่ถูกเขียนใหม่มีแนวโน้มที่จะแสดงส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดของหน้าเว็บของคุณโดยตรงใน SERP (หน้าผลการค้นหา) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า หาก Meta Description ของคุณถูกเขียนใหม่ ไม่ได้เป็นสัญญาณว่าคุณภาพของเว็บไซต์ไม่ดี
Meta Description ใช้ยังไง
Meta Description อาจปรากฏใน SERP และตัวอย่างในโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ผู้ใช้ดูเนื้อหาของหน้าเว็บและกระตุ้นให้พวกเขาคลิก
คุณสามารถค้นหาและป้อน Meta Description ได้ที่ไหน
ตำแหน่งที่คุณจะป้อน Meta Description นั้นขึ้นอยู่กับระบบจัดการเนื้อหา (CMS - Content Management System) ที่คุณใช้งานอยู่ แต่โดยทั่วไปแล้ว มักจะอยู่ที่ด้านล่างของหน้าแก้ไขเนื้อหาส่วนใหญ่
นี่คือตัวอย่างลักษณะของโค้ดโดยทั่วไป
<meta name="description" content="เลือกชุดว่ายน้ำที่มีสีสันสดใส ติดระบาย เนื้อผ้าเป็นผ้าย่นหรือมีลูกเล่นบริเวณส่วนไหล่หรือช่วงอก หรือมีลายพริ้นต์ทั้งชุดเพื่อให้รูปร่างทั้งช่วงบน-ล่างดูสมส่วนเท่ากัน!">

โค้ดนี้สื่อสาร Meta Description (“สรุปที่กระชับและน่าสนใจของหน้าเว็บของคุณ …”) ให้กับเครื่องมือค้นหาและทำให้สามารถแสดงใน SERP และโพสต์ในโซเชียลมีเดียได้
Meta Description ใช้ยังไงใน SERP?
เครื่องมือค้นหาจะแสดง Meta Description อยู่ใต้ชื่อหน้าเว็บ และ URL พวกมันคือสิ่งลำดับที่สองที่ผู้ใช้เห็น และทำหน้าที่เป็นคำโปรยเพื่อจูงใจให้คลิกเนื้อหาของคุณ Google, Bing และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ใช้ Meta Description เพื่อให้บริบทของหน้าเว็บ
ตัวอย่างเช่น ในผลการค้นหา Meta Description ของคุณอาจปรากฏในลักษณะนี้
ชื่อเรื่อง: วิธีการอบคุกกี้ให้สมบูรณ์แบบทุกครั้ง
URL: www.example.com/perfect-cookies
คำอธิบาย: เรียนรู้เคล็ดลับการอบคุกกี้ที่สมบูรณ์แบบทุกครั้งด้วยคู่มือที่ทำตามได้ง่ายของเรา รับคำแนะนำ เคล็ดลับ และสูตรอาหารที่ให้ผลลัพธ์อร่อยลงตัวทุกครั้ง
Meta Description ใช้ที่ไหนอีก?

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่เขียน Meta Description ?
หากคุณไม่ได้ระบุ Meta Description เครื่องมือค้นหาจะสร้างคำอธิบายโดยอัตโนมัติ โดยดึงข้อความจากหน้าเว็บของคุณมาเพื่อให้ตรงกับคำค้นหา การเขียน Meta Description ด้วยตัวเองจะช่วยให้คุณสามารถ ควบคุมความสมบูรณ์ ความถูกต้อง และคุณค่า ของผลลัพธ์หน้าเว็บของคุณในเครื่องมือค้นหาได้มากขึ้น
ตัวอย่าง Meta Description
หน้าแรก
Meta Description ที่ดีจะให้ภาพรวมสั้น ๆ ของเนื้อหาในหน้าเว็บหรือเว็บไซต์ และ กระตุ้นให้ผู้อ่านคลิก กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผู้ค้นหาจำนวนมากไม่ทันสังเกตว่าตนเองกำลังตัดสินใจ พวกเขาเพียงแค่คลิกที่ลิงก์และตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นโดยไม่ได้คิดอะไร
นี่คือตัวอย่างของ Meta Description ที่เกี่ยวข้อง

หน้าผลิตภัณฑ์
การเขียน Meta Description สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์นั้นง่ายกว่าการเขียนสำหรับหน้าแรก เนื่องจากหน้าผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องนำเสนอภาพรวมของธุรกิจทั้งหมด
แต่หน้าผลิตภัณฑ์จะสื่อถึง ประโยชน์ที่จับต้องได้ของสินค้านั้นๆ หากคุณขายไม้พาย (spatulas) ให้คุณอธิบายว่าไม้พายนี้ช่วยให้การทำอาหารง่ายขึ้นได้อย่างไร หากคุณขายเครื่องตัดหญ้า ให้ช่วยผู้อ่านจินตนาการถึงการเดินทางบนสนามหญ้าที่รวดเร็วและง่ายดาย

หน้าหมวดหมู่
Meta Description ลำดับถัดไปที่ควรให้ความสำคัญคือส่วนของหน้าหมวดหมู่หรือหน้าคอลเลกชันสินค้า หน้าเหล่านี้จัดกลุ่มสินค้าที่คล้ายคลึงกันเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้ลูกค้าเลือกดูได้ง่าย หน้าคอลเลกชันสามารถปรากฏในการค้นหาด้วยคำหลักที่กว้างและมีปริมาณการค้นหาสูง เช่น "รองเท้าผู้หญิง" หรือ "รองเท้าแตะผู้ชาย"
Meta Description ของหน้าหมวดหมู่ควรดึงดูดนักช้อปด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคอลเลกชันนั้นๆ ดังตัวอย่างด้านล่างจาก DSW

นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประโยคที่กระตุ้นการดำเนินการที่เรียบง่าย เช่น "ช้อปออนไลน์สำหรับ" และ "เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าจำนวนมากและจัดส่งฟรี" เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่กำลังค้นหาคลิกเข้ามา
เพื่อให้คำอธิบายหน้าคอลเลกชันของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น Doug Pierce ผู้อำนวยการของ Cogney แนะนำให้ใช้ อิโมจิ (Emojis) "เคล็ดลับที่ผมชอบใช้คือการใช้เครื่องหมายถูก (✔️) เพื่อเน้นย้ำคอลเลกชันย่อยของสินค้าที่เรามี หากหน้านั้นเป็นหน้าคอลเลกชันสินค้า"
Doug ยังแนะนำให้ใส่ตัวเลขเมื่อเกี่ยวข้อง และดึงดูดความสนใจด้วยคำทรงพลัง เช่น "ฟรี" หรือ "พิเศษเฉพาะ" หากร้านค้าของคุณมีข้อเสนอพิเศษ เช่น การจัดส่งฟรี การรับประกันที่ขยายเวลา หรือการลดราคา ให้รวมสิ่งเหล่านี้ไว้ใน Meta Description ด้วย
โพสต์บล็อก
Meta Description สำหรับบล็อกโพสต์คือ บทสรุปที่กระชับ ซึ่งจะปรากฏในผลการค้นหา Meta Description ควรดึงดูดผู้อ่านและกระตุ้นให้เกิดการคลิก
คุณควรสร้างผลกระทบที่น่าสนใจภายใน 150 ถึง 160 ตัวอักษร โดยเน้นสิ่งที่ทำให้โพสต์ของคุณไม่เหมือนใคร ใช้ คำกริยาที่ทรงพลัง และวาง คำหลักไว้ด้านหน้า Meta Description ที่ยอดเยี่ยมสามารถทำให้โพสต์ของคุณโดดเด่นและเพิ่มอัตราการคลิกผ่านได้ แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออันดับการจัดอันดับก็ตาม
โซเชียลมีเดีย
Meta Description ไม่ได้มีไว้สำหรับเครื่องมือค้นหาเท่านั้น แม้ว่าเครือข่ายโซเชียลส่วนใหญ่จะใช้แท็ก og:description เพื่อดึงข้อมูลจากหน้าเว็บ (ซึ่งแตกต่างจาก Meta Description) แต่ หากไม่มี og:description ระบบก็อาจใช้ Meta Description แทน

วิธีการเขียน Meta Description ให้ดี
ปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ในการเขียน Meta Description เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหาและโน้มน้าวให้คลิก
- คำนึงถึงกรอบความคิดของลูกค้า
- ทำให้มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
- รักษาความยาวที่เหมาะสม
- ทำให้กระตุ้นแอ็คชั่น
- เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ
- ใช้คำหลักที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสร้าง Meta Description
- ทดสอบประสิทธิภาพของ Meta Description
1. คำนึงถึงกรอบความคิดของลูกค้า
เมื่อสร้างแท็กชื่อและ Meta Description ให้พิจารณาว่าผู้ชมของคุณอยู่ที่ไหนในช่องทางการตลาด เป้าหมายคือการปรับข้อความของคุณให้ตรงกับสภาพจิตใจของพวกเขาในขณะนั้น โดยตอบสนองสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาในแต่ละขั้นตอน
เริ่มต้นด้วยการตอบคำถามสองข้อสำคัญ
- คุณเสนออะไร
- ทำไมพวกเขาควรเลือกคุณ
สำหรับหน้าผลิตภัณฑ์ หมายถึงการระบุผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจนและเน้นเหตุผลที่น่าสนใจในการซื้อ พวกเขาพร้อมที่จะซื้อหรือยัง? เน้นว่าผลิตภัณฑ์พร้อมจัดส่ง ลดราคา หรือรับประกันความพึงพอใจ เพราะสิ่งนี้ดึงดูดผู้ค้นหาที่พร้อมซื้อโดยตรง
สำหรับบล็อกโพสต์ที่ให้ข้อมูล ให้มุ่งเน้นไปที่ความต้องการข้อมูลหรือการศึกษาของผู้ค้นหา Meta Description ของคุณควรมั่นใจว่าเนื้อหาของคุณให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่า เคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริง หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อพูดถึงหน้าแรก ให้ขยายขอบเขตความสนใจออกไป แทนที่จะเน้นเพียงแค่แบรนด์ของคุณ ให้เน้นว่าอะไรที่ทำให้ร้านค้าของคุณแตกต่าง นำเสนอคุณค่าที่โดดเด่นของคุณ (Unique Value Proposition) ไม่ว่าจะเป็นสินค้าพิเศษ บริการลูกค้าที่เป็นเลิศ หรือหลักจริยธรรมของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

2. ทำให้มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
Meta Description มีอยู่เพื่อสร้างยอดคลิก แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนด์ด้วยเช่นกัน Stephen Light, CMO และเจ้าของร่วมของบริษัทที่นอน Nolah กล่าวว่า "ให้มองว่า Meta Description เป็นส่วนที่ต่อยอดจากแบรนด์ของคุณ และเป็นโอกาสในการกำหนด USP (จุดขายที่เป็นเอกลักษณ์) ของคุณอย่างชัดเจนโดยใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง" "พวกมันเป็นเหมือนโฆษณาเล็ก ๆ และถึงแม้ว่าความยาวของตัวอักษรจะดูจำกัด แต่ก็เป็นการส่งเสริมการขายแบบสั้น ๆ ที่ยอดเยี่ยม"
ให้คิดว่า Meta Description ของหน้าแรกเปรียบเสมือน 'Elevator Pitch' (การนำเสนอแบบรวบรัด) ทำตามแนวทางของแบรนด์เพื่อให้ได้น้ำเสียงที่เหมาะสม และเตรียมพร้อมที่จะเขียนฉบับร่างหลาย ๆ ครั้ง การทำ Meta Description ให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากนี่จะเป็นการเปิดเผยแบรนด์ของคุณต่อลูกค้าเป็นครั้งแรกสำหรับหลาย ๆ คน นอกจากนี้ คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้ Meta Description ที่ซ้ำกันด้วย เพราะอาจส่งผลเสียต่ออันดับ (Rankings) ของคุณได้
3. รักษาความยาวที่เหมาะสม
อยู่ระหว่าง 150 ถึง 160 ตัวอักษร เนื่องจาก Google มีแนวโน้มที่จะตัดข้อความที่ยาวกว่านั้น ตามที่ Fashion Nova ทำไว้ด้านล่าง ให้วางคำสำคัญที่สำคัญที่สุดไว้ที่จุดเริ่มต้นของคำอธิบายของคุณ

4. ทำให้กระตุ้นแอ็คชั่น
Meta Description ไม่ควรเป็นเพียงแค่การอธิบายว่ามีอะไรอยู่ในหน้าเว็บเท่านั้น แต่ควร กระตุ้นให้ผู้อ่านดำเนินการขั้นต่อไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เพิ่มเติม การสำรวจผลิตภัณฑ์ หรือการตัดสินใจซื้อ
สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะระหว่าง การกระตุ้นการกระทำ (Actionable) กับ คำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ในที่นี้ แม้ว่า CTA จะเป็นการแจ้งเตือนที่เจาะจง เช่น "ช้อปเลย" หรือ "เรียนรู้เพิ่มเติม" แต่ Meta Description ที่กระตุ้นการกระทำจะนำทางผู้อ่านอย่างแนบเนียนโดยเน้นถึงคุณค่าที่พวกเขาจะได้รับจากการคลิกเข้ามา หากคุณไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในเนื้อหาของคุณ ให้พิจารณาว่าสามารถรวมทั้งสองวัตถุประสงค์เข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
หลีกเลี่ยงการใช้คำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์มากเกินไป แม้ว่าการอธิบายผลิตภัณฑ์ของคุณด้วยคำว่า "สุดยอด" หรือ "น่าทึ่ง" อาจเป็นที่ดึงดูดใจ แต่มันอาจฟังดูคลุมเครือและลดโอกาสในการคลิกได้ แต่ควรใช้ ภาษาที่เกี่ยวข้องและกระตุ้นการกระทำ ที่สื่อถึงความตื่นเต้นอย่างเป็นธรรมชาติและเน้นย้ำถึงคุณค่าของหน้าเว็บนั้น ๆ
ลองดูตัวอย่างนี้จาก Bonobos

คำอธิบายนี้สั้น กระตุ้น และตรงไปตรงมา มันมีการกระทำเพราะมันตั้งความคาดหวังที่ชัดเจนและกระตุ้นให้ดำเนินการต่อไปอย่างละเอียด
5. เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ
คำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ใน Meta Description ของคุณจะโน้มน้าวให้ผู้คนคลิกเข้ามา โดยการบอกสิ่งที่แบรนด์นำเสนอและสิ่งที่พวกเขาจะได้รับหลังจากคลิก สำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซ ให้มุ่งเน้นไปที่แรงจูงใจที่แตกต่างกันเบื้องหลังการค้นหาของลูกค้า CTA มีไว้สำหรับขั้นตอนต่อไปของผู้อ่าน พยายามนำเสนอสิ่งที่ผู้อ่านต้องการเพื่อตอบคำถามหรือแก้ไขปัญหา
ตัวอย่างคำกระตุ้นแอ็คชั่น (CTA) สำหรับอีคอมเมิร์ซ ได้แก่
- ช้อปเลย
- สำรวจคอลเลกชัน
- ค้นพบเทรนด์ใหม่
- เลือกดูสินค้าของเรา
6. ใช้คำหลักที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
การใส่คำหลักเป้าหมายของคุณ จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาจัดอันดับหน้าเว็บของคุณได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันฟังดูเหมือนเป็นข้อความที่มนุษย์เขียน ตัวอย่างเช่น การยัดคำหลักเป้าหมายทั้งหมดของคุณลงใน Meta Descriptionเช่น "ซื้อรองเท้าผู้หญิง รองเท้าเทนนิสผู้หญิง และรองเท้าผู้หญิงลดราคาได้ที่นี่!" นั้น ไม่ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณเพราะมันให้ความรู้สึกที่ฝืนและเหมือนหุ่นยนต์
แต่ให้คุณเชื่อมโยงคำหลักเข้ากับคำอธิบายของคุณอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ตัวอย่างของ Shoe Carnival ด้านล่าง

อย่าลืมตรวจสอบคำสำคัญที่คู่แข่งของคุณกำลังใช้ด้วย
7. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสร้าง Meta Description
เครื่องมือ SEO จำนวนมากมาพร้อมกับเครื่องมือสร้าง Meta Description อัตโนมัติ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์สำหรับแบรนด์ที่มีรหัสสินค้า (SKU) นับพัน และมีทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะเขียน Meta Description ที่ไม่ซ้ำกันสำหรับหน้าผลิตภัณฑ์ทุกหน้า แต่เครื่องมืออัตโนมัติเหล่านี้มักจะเขียนเหมือน...หุ่นยนต์ หากคุณยอมรับเนื้อหาที่น่าเบื่อได้ก็ใช้ได้ แต่แบรนด์ขนาดเล็กส่วนใหญ่ควร เขียน Meta Description ด้วยตนเองจะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหน้าที่มีความสำคัญสูงสุด
Melanie Bedwell ผู้จัดการอีคอมเมิร์ซของแบรนด์เครื่องดื่ม Olipop กล่าวว่า "Meta Description ควรมีลักษณะเฉพาะตัว" พร้อมเสริมว่า "มันง่ายกว่าที่จะทำให้มันมีเอกลักษณ์ หากคุณมีคนในทีมมาช่วยเขียน Meta Description เป็นโอกาสที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่ใครบางคนจะคลิกผลการค้นหาของคุณ ฉันเชื่อว่ามันสำคัญเกินกว่าจะปล่อยให้เครื่องมือสร้างอัตโนมัติเข้ามาจัดการ"
เครื่องมืออัตโนมัติเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ Google เริ่มเข้ามาแทรกแซงและเขียนคำอธิบายใหม่ Google ไม่ต้องการเนื้อหาคุณภาพต่ำ เป็นแบบแผนที่ไม่ตอบสนองต่อความตั้งใจในการค้นหา คุณสามารถใช้ AI เพื่อระดมความคิดหรือย่อสำเนาได้ แต่ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าสมองของมนุษย์ในการสร้างข้อความ Meta ที่กระตุ้นให้เกิดการคลิก
8. ทดสอบประสิทธิภาพของ Meta Description
การทดสอบ Meta Description ช่วยให้คุณค้นหาว่าคำอธิบายใดทำงานได้ดีที่สุด คุณสามารถสร้าง Meta Description ที่แตกต่างกันสำหรับหน้าเดียวกันและเปรียบเทียบประสิทธิภาพ
เมตริกหลักที่คุณต้องการวัดเมื่อเปลี่ยน Meta Description คืออัตราการคลิกผ่าน (CTR) คุณมีแนวโน้มที่จะได้รับสัญญาณที่วัดได้หากคุณแก้ไขหลายหน้าและวัดผลเป็นกลุ่ม เครื่องมือเช่น SEOTesting.com ดีสำหรับเรื่องนี้ บางครั้งคุณสามารถเปลี่ยนเพียงหน้าเดียวได้ แต่ต้องมีปริมาณการเข้าชมที่ดีพอสมควรเพื่อให้การเปลี่ยนแปลง Meta Description เห็นได้ชัดเจน
Google เขียน Meta Description ใหม่หรือไม่
Google เขียน Meta Description ใหม่ แล้วทำไมต้องเสียเวลาเขียน Meta Description ที่ไม่ซ้ำกัน หาก Google จะแสดงอะไรก็ตามที่มันต้องการอยู่แล้ว
เหตุผลสุดท้ายคือความสัมพันธ์ระหว่างคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงกับอัตราการเขียนใหม่ที่ต่ำกว่า Kim Herrington ที่ปรึกษาด้าน SEO และ SEM มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการเขียน Meta Description สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
Kim กล่าวว่า "SEO อาจต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่มีผลิตภัณฑ์จำนวนมาก การเข้าถึง Meta Description โดยรู้ว่ามันจะถูกเขียนใหม่ สามารถช่วยประหยัดทรัพยากรได้"
เธอแนะนำให้คุณมุ่งเน้นการเขียน Meta Description ที่ดีจริงๆ สำหรับคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงที่สุดของคุณ เพราะ Google มีแนวโน้มที่จะใช้มันมากกว่า "เน้นที่สินค้าขายดีที่สุดและ Meta Description ของหน้าหมวดหมู่เป็นหลัก แทนที่จะเป็นสินค้าทุกชิ้นที่คุณขาย" เธอกล่าว
ให้ทบทวน Meta Description สำหรับ 20 หน้าแรกของคุณ และถามตัวเองว่า "เรากำลังขายสินค้าได้จริง ๆ ที่นี่ หรือมีวิธีที่เราจะสามารถปรับปรุงอัตราการคลิกผ่านได้อีกหรือไม่?
เขียน Meta Description เอง
ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านครั้งแรกหรือเป็นเว็บมาสเตอร์อีคอมเมิร์ซที่มีประสบการณ์ Meta Description ที่ดึงดูดใจมีความสำคัญต่อการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ มอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และปรับปรุงอัตราคอนเวอร์ชัน
โดยการทำตามขั้นตอนข้างต้น คุณจะสามารถปรับแต่งร้านค้า Shopify ของคุณให้เหมาะสมกับเว็บและกระตุ้นให้มีการเข้าชมมากขึ้นและยอดขายที่สูงขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีเขียน Meta Description
ควรเขียนอะไรใน Meta Description
Meta Description ควรประกอบด้วยบทสรุปที่กระชับและน่าดึงดูดใจของหน้าเว็บของคุณ ซึ่งเน้นย้ำถึงคุณค่าหรือวัตถุประสงค์หลักของหน้านั้น ๆ ควรตอบสนองความตั้งใจของผู้ใช้งาน รวมคำหลักที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรมชาติ และใช้คำที่กระตุ้นการกระทำเพื่อส่งเสริมการคลิกผ่าน
Metadata ประเภทอื่นๆ มีอะไรบ้าง
Metadata ได้แก่ Meta Title (หรือ Title Tag) ซึ่งกำหนดชื่อของหน้าเว็บในผลการค้นหา และ Meta Keywords (แม้ว่าปัจจุบันจะล้าสมัยสำหรับ SEO เป็นส่วนใหญ่แล้วก็ตาม)
Meta Description สำคัญสำหรับ SEO หรือไม่
สำคัญ แท็ก Meta Description ช่วยให้เครื่องมือค้นหาและเว็บเบราว์เซอร์เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บของคุณ และพิจารณาว่ามันตอบคำถามของผู้ค้นหาหรือไม่ Meta Description ที่ไม่ซ้ำกันสามารถช่วยปรับปรุงการมองเห็นในการค้นหา และอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ได้
แนวทางที่ดีที่สุดในการเขียน Meta Description คืออะไร
- คำนึงถึงกรอบความคิดของลูกค้า
- ทำให้มีความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
- รักษาความยาวที่เหมาะสม
- ทำให้กระตุ้นแอ็คชั่น
- เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ
- ใช้คำหลักเป้าหมายของคุณ
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือสร้าง Meta Description
- ทดสอบประสิทธิภาพของ Meta Description
เราควรเขียน Meta Description เสมอหรือไม่?
ควร เพื่อควบคุมบทสรุปของหน้าเว็บของคุณที่ปรากฏในผลการค้นหาและการแชร์ทางโซเชียล แม้ว่าเครื่องมือค้นหาอาจจะเขียนทับไปบ้าง แต่คำอธิบายต้นฉบับที่เขียนขึ้นอย่างดีจะช่วยนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดของหน้าเว็บคุณ


