Wholesale เป็นตลาดที่มีมูลค่ามากกว่า 57 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะพุ่งแตะเกือบ 58 ล้านล้านบาทในปี 2025 พร้อมแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องปีละประมาณ 6%–7% การจะมองหาสินค้าขายส่งราคาถูกสำหรับนำไปขายต่อท่ามกลางสินค้าจำนวนมหาศาลขนาดนี้อาจทำให้รู้สึกหนักใจได้ไม่ยาก
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าสินค้าไหนคุ้มค่าที่จะลงทุน? และในเมื่อมีตลาดขายส่งมากมายที่บอกว่ามีสินค้าราคาถูกแบบยกล็อต แพลตฟอร์มไหนที่มีโอกาสเจอของดีซ่อนอยู่มากที่สุด?
การซื้อของขายส่งมีเรื่องต้องคิดเยอะ ทั้งแหล่งที่จะไปหาสินค้า จำนวนที่ควรสั่ง และกำไรประมาณไหนที่ควรตั้งเป็นเป้าหมาย
อ่านต่อเพื่อดูว่ามีที่ไหนบ้างที่เหมาะกับการซื้อสินค้าขายส่งราคาถูกไปขายออนไลน์ พร้อมแนวทางคัดกรองซัพพลายเออร์ขายส่งที่เชื่อถือได้แบบใช้งานได้จริง
สินค้าขายส่งราคาถูกสำหรับขายต่อ คืออะไร?
สินค้าขายส่งราคาถูกสำหรับขายต่อคือสินค้าต้นทุนต่ำที่สั่งแบบยกล็อตจากผู้จัดจำหน่ายหรือผู้ผลิต โดยผู้ค้าปลีกจะนำมาขายต่อด้วยกำไรที่บวกเพิ่มเข้าไป จุดเด่นของสินค้ากลุ่มนี้คือเป็นของใช้ทั่วไป ผลิตไม่แพง น้ำหนักเบา จัดส่งง่าย และหมุนไว
คำว่า “ราคาถูก” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสินค้าคุณภาพต่ำ แต่หมายถึงสินค้าที่มีต้นทุนต่อชิ้นไม่สูง (มักอยู่ราว 200–700 บาทต่อชิ้นเมื่อสั่งล็อตใหญ่)
ตัวอย่างสินค้าขายส่งราคาถูก เช่น
- เข็มกลัดเคลือบที่ต้นทุนต่ำกว่า 100 บาทต่อชิ้นเมื่อสั่งประมาณ 500 ชิ้น
- ตะหลิวซิลิโคนหรืออุปกรณ์ครัวชิ้นเล็ก ๆ ที่มักอยู่ต่ำกว่า 150–180 บาทเมื่อซื้อแบบยกล็อต
- ถุงเท้าและถุงผ้าหูหิ้วที่ต้นทุนราว 70–150 บาทต่อชิ้น หากได้ซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม
- เคสโทรศัพท์หรือสายชาร์จที่ต้นทุนเพียง 35–70 บาทต่อเส้นเมื่อสั่งจำนวนมาก
สินค้ากลุ่มนี้ถือว่าราคาถูก เพราะต้นทุนเริ่มต้นไม่สูง แต่มีความต้องการคงที่ ทำให้ทำกำไรจากการขายต่อได้ดีโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก
ข้อดีของสินค้าขายส่งราคาถูก
ผู้ขายออนไลน์ที่นำสินค้าขายส่งราคาถูกไปขายต่อมีข้อดีหลายอย่าง แต่สองประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการไม่ต้องผลิตเอง และการได้ต้นทุนถูกจากการซื้อแบบยกล็อต
- ไม่ต้องผลิตเอง เพราะกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ตั้งแต่การหาวัสดุไปจนถึงการประกอบและทดสอบผลิตภัณฑ์ การซื้อแบบขายส่งช่วยให้ข้ามขั้นตอนทั้งหมดนี้ไปได้ แล้วโฟกัสที่การขายและการทำการตลาดแทน
- ส่วนลดเมื่อซื้อจำนวนมาก ยิ่งซื้อเยอะ ต้นทุนต่อชิ้นยิ่งถูกลง ทำให้ตั้งราคาขายได้ยืดหยุ่นกว่าและแข่งขันกับตลาดได้ง่ายขึ้น นี่เป็นจุดแข็งหลักของการทำธุรกิจด้วยสินค้าขายส่งราคาถูก
สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กจำนวนมาก การซื้อขายส่งคือพื้นฐานของทั้งโมเดลธุรกิจ
เมลิสซา พาลเมอร์ ซีอีโอของ OSEA Malibu เล่าว่า “กว่า 14 ปี ธุรกิจของเราแทบทั้งหมดเป็นการขายส่ง ผ่านสปาและออเดอร์ทางโทรศัพท์”
เธอยังบอกอีกว่า “คนชอบถามว่าเราทำกำไรได้มั้ย ซึ่งคำตอบของเราก็คือ มันจะไม่กำไรได้ยังไง เพราะนี่คือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ อยู่ได้ เราโตขึ้นปีละ 10% และก็ภูมิใจกับมันมาก”
สินค้าขายส่งราคาถูกที่น่าซื้อไปขายต่อในปี 2026
นี่คือตัวอย่างเริ่มต้นในการค้นหาสินค้าขายส่งราคาถูก เพื่อนำไปขายต่อได้ง่าย
วิตามินและอาหารเสริม
ตลาดอาหารเสริมทั่วโลกในปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 6.6 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มเป็นราว 7.1 ล้านล้านบาทในปี 2025 สินค้ากลุ่มนี้น้ำหนักเบา หมุนไว และสต็อกง่าย เช่น วิตามินกัมมี่ หรือซองเสริมภูมิแบบชงดื่มหนึ่งครั้ง
ไวน์
น่าสนใจตรงที่ปริมาณการผลิตไวน์ในแคลิฟอร์เนียลดลง เหลือเพียง 3.2 ล้านตันในปี 2024 ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2008 แต่ยังมีสต็อกค้างจำนวนมาก ทำให้ปี 2025 ผู้ซื้อไวน์แบบขายส่งได้ส่วนลดสูงเป็นพิเศษ จนสื่อมองว่าเป็นยุคทองของการดีลไวน์ราคาดี
ถ้าหากอยากสต็อกไวน์ต้นทุนไม่ถึง 400 บาทต่อขวด ช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะในการซื้อไวน์ขายส่ง ก่อนที่ตลาดจะกลับเข้าสู่สมดุล
สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
กระแสรักษ์โลกยังคงแรง และผู้บริโภคจำนวนมากยอมจ่ายเพิ่มเฉลี่ยราว 9.7% เพื่อซื้อสินค้าที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ตัวเลือกที่เหมาะสำหรับขายต่อ เช่น สินค้าหนังวีแกน ผลิตภัณฑ์บิวตี้แบบไร้พลาสติก อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ ถังทำปุ๋ยอินทรีย์ และอุปกรณ์ทำความสะอาดแบบใช้ซ้ำได้ สินค้ากลุ่มนี้ยังเหมาะกับการขายจากที่บ้านเพราะน้ำหนักเบา ส่งง่าย และมีดีมานด์คงที่
อ่านเพิ่มเติม: Eco-Friendly สินค้าขายดีสายรักษ์โลกกว่า 35 รายการสำหรับปี 2026
อิเล็กทรอนิกส์
ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ยังโตต่อเนื่อง คาดว่าตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคจะมีมูลค่าราว 30.5 ล้านล้านบาทในปี 2025 (เพิ่มจากประมาณ 28.7 ล้านล้านบาทในปี 2024)
เฉพาะตลาดสมาร์ทโฮมก็ถูกประเมินว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 2.6 ล้านล้านบาทภายในปี 2029 สินค้าอย่างเทอร์โมสแตตอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด และผู้ช่วยสั่งงานด้วยเสียงเป็นที่ต้องการสูง เพราะผู้ใช้ต้องการควบคุมบ้านผ่านอุปกรณ์เดียวและช่วยประหยัดค่าไฟ
ช่องทางขายส่งเองก็มีดีลอะไหล่และอุปกรณ์ราคาถูกจำนวนมาก เช่น สายชาร์จมือถือราว 70 บาท หรือหัวชาร์จประมาณ 175 บาทต่อชิ้นเมื่อซื้อยกล็อต สินค้าเหล่านี้ขนาดเล็ก ขายง่าย และทำกำไรได้ดี
สินค้าบิวตี้
ภาษีนำเข้าหลายประเทศสูงขึ้น บางหมวดเจอภาษีเฉลี่ยเกือบ 25.8% โดยเฉพาะสินค้าที่ผลิตจากจีน ทำให้หลายแบรนด์ต้องปรับกลยุทธ์การจัดหาสินค้า เช่น เลือกผู้ผลิตในประเทศ หรือหาทางเลือกที่ไม่เจอภาษีสูง แต่ยังทำให้ต้นทุนต่อชิ้นต่ำกว่า 100 บาทได้ในสินค้าหลักบางตัว
อย่าลืมเรื่อง “ลิปสติกเอฟเฟกต์” ที่หมายถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังยอมซื้อของชิ้นเล็กเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี แม้เศรษฐกิจจะตึงตัว สื่อนิยมเรียกเทรนด์นี้ว่า “treatonomics”
แฟชั่น
อุตสาหกรรมแฟชั่นยังเป็นตลาดใหญ่ คาดว่าจะโตจาก 5.2 ล้านล้านบาทในปี 2025 เป็นประมาณ 5.7 ล้านล้านบาทในปี 2025 แต่ผู้ซื้อก็เลือกมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ฟาสต์แฟชั่นจะผลิตของราคาถูกออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความต้องการกำลังเอนเอียงไปทางสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น เสื้อยืดคอตตอนออร์แกนิก แจ็กเก็ตโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล หรือแอ็กเซสซอรีแฟร์เทรด
ผู้ที่ซื้อขายส่งสินค้าแฟชั่นสายรักษ์โลกมักได้ประโยชน์สองต่อ ทั้งต้นทุนต่อชิ้นที่ไม่สูง (บางอย่างอยู่ราว 175–350 บาทเมื่อซื้อยกล็อต) และยังสามารถนำเสนอเรื่องแหล่งผลิตที่เป็นธรรมเป็นจุดขายเพิ่มได้ด้วย
💡 ค้นหาสินค้าใหม่ในราคาที่แข่งขันได้ด้วย แอปขายส่งจาก Shopify App Store
ประเภทของซัพพลายเออร์ขายส่ง
การเลือกว่าจะซื้อจากที่ไหนสำคัญพอ ๆ กับการเลือกว่าจะขายอะไร นี่คือ 3 ประเภทซัพพลายเออร์ขายส่งที่ควรพิจารณาเวลาวางแผนทำธุรกิจขายต่อ
ซัพพลายเออร์ขายส่งในประเทศ
คู่ค้าภายในประเทศคือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด ราคาต่อชิ้นอาจสูงกว่า แต่แลกมากับความสบายใจ ทั้งการส่งของที่เร็วกว่า การคืนสินค้าที่ง่ายกว่า และไม่ต้องปวดหัวกับภาษีหรือเอกสารศุลกากร ถ้าธุรกิจต้องการสต็อกที่หมุนตลอด หรือเป็นหน้าร้านที่ไม่ควรปล่อยชั้นว่าง การสั่งในประเทศคือทางเลือกที่เหมาะที่สุด
ซัพพลายเออร์ต่างประเทศ
การสั่งจากต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย หรือเวียดนาม ช่วยให้ได้ต้นทุนที่ถูกมาก แต่ก็แลกมาด้วยระยะเวลาขนส่งที่ยาวขึ้น ค่าขนส่งที่สูง และงานเอกสารที่มากขึ้น ความน่าเชื่อถือก็มีตั้งแต่ดีมากไปจนถึงน่าปวดหัว หากมีเวลาสำรองพอ เผื่อดีเลย์ได้ และระบบจัดการสต็อกที่รองรับการรอสินค้า ซัพพลายเออร์ต่างประเทศจะช่วยให้มาร์จิ้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซัพพลายเออร์ดรอปชิป
ดรอปชิปเหมือนจะง่ายมาก ไม่ต้องสต็อกของ ไม่ต้องจ่ายก่อน ไม่ต้องมีโกดัง แค่ขาย แล้วให้ซัพพลายเออร์ส่งของแทน ฟังดูดีมาก แต่ก็มีข้อควรระวังคือ ลูกค้าอาจต้องรอนาน 2–3 สัปดาห์ หรือได้รับสินค้าที่คุณยังไม่เคยเห็นของจริง มาร์จิ้นก็น้อยกว่า เพราะเป็นการซื้อความสะดวก
แต่ดรอปชิปเหมาะมากสำหรับการทดสอบสินค้าตัวใหม่ การเริ่มธุรกิจแบบต้นทุนบาง และลดความเสี่ยงระหว่างที่กำลังหาสินค้าที่ใช่ของร้านตัวเอง
ผู้ผลิตโดยตรง
นี่คือระดับโปรของการทำขายส่ง เพราะคุณสั่งตรงจากโรงงาน ต้นทุนจะลดลงแบบชัดเจน และปรับแต่งสินค้าได้หลากหลายกว่าเดิมมาก แต่ภาระสัญญาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ผู้ผลิตมักต้องการจำนวนสั่งขั้นต่ำ (MOQ) ที่เยอะจนสต็อกอาจเต็มห้องนอนสำรองได้ง่าย ๆ การสื่อสารก็อาจซับซ้อน และเวลาผลิตค่อนข้างนาน แต่ถ้าจูนกันติด คุณจะได้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมเองและมาร์จิ้นที่ดีมาก
ถ้ายังเลือกไม่ถูกว่าจะใช้ซัพพลายเออร์แบบไหนดี ลองดูแนวทางนี้เพื่อช่วยตัดสินใจง่ายขึ้น
- ถ้าพลาดการเติมสต็อกไม่ได้ และต้องการของเข้าร้านแบบเร็วที่สุด เลือกซัพพลายเออร์ในประเทศ
- ถ้าต้องการมาร์จิ้นสูงสุด และมีความพร้อมเผื่อเวลาและการดีเลย์ เลือกซัพพลายเออร์ต่างประเทศ
- ถ้ายังทดลองตลาด หรือยังไม่อยากเสี่ยงกับพื้นที่เก็บสินค้า ดรอปชิปคือทางเลือกที่ตอบโจทย์
- ถ้าพร้อมขยายธุรกิจ และต้องการควบคุมสินค้าเต็มที่ การสั่งจากผู้ผลิตโดยตรงจะเหมาะที่สุด
วิธีเลือกและสั่งสินค้าขายส่งราคาย่อมเยา เพื่อนำไปขายต่อ
ใช้ขั้นตอนเหล่านี้เป็นไกด์สำหรับเริ่มต้นธุรกิจขายต่อสินค้าแบบขายส่งราคาถูก
1. หาและตรวจสอบซัพพลายเออร์ขายส่ง
การหาซัพพลายเออร์ขายส่งที่มีคุณภาพ สื่อสารได้ดี และเชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจคุณ ตลาดอย่าง Faire ช่วยให้คุณกรองแบรนด์ตามสถานที่ ค่านิยมของแบรนด์ และหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์เพื่อทำให้กระบวนการง่ายขึ้น เพราะสามารถกรองตามพื้นที่ ประเภทสินค้า หรือแนวคิดของแบรนด์ได้ ทำให้คุณหาคู่ค้าที่เหมาะกับร้านได้เร็วกว่าเดิม
บน Faire คุณสามารถเพิ่มฟิลเตอร์เพื่อค้นหาซัพพลายเออร์ที่ไม่มีสินค้าอยู่บน Amazon ได้
• ไม่มีเลขทะเบียนธุรกิจหรือข้อมูลบริษัทที่ตรวจสอบได้ ซัพพลายเออร์ที่น่าเชื่อถือจะมีเลขผู้เสียภาษี เลขทะเบียนบริษัท หรืออย่างน้อยที่อยู่ที่สามารถเช็กได้ ถ้ามีแค่เมล Gmail กับฟอร์มติดต่อ ถือว่าไม่น่าไว้ใจ
• ขอให้จ่ายเงินผ่าน Western Union หรือโอนเงินเท่านั้น ผู้ขายที่เชื่อถือได้จะรองรับบัตรเครดิต ระบบเอสโครว์ หรือ PayPal ถ้าอีกฝ่ายยืนยันให้จ่ายด้วยช่องทางที่ย้อนเงินไม่ได้ เช่น Western Union นั่นเป็นกลวิธีหลอกลวงคลาสสิก เพราะถ้าของไม่มา คุณจะไม่สามารถเรียกเงินคืนได้เลย
• เว็บไซต์ใช้แต่ภาพสต็อก ซัพพลายเออร์จริงควรมีภาพของตัวเอง เช่น รูปโกดัง บรรจุภัณฑ์ หรือภาพสินค้าที่มีวันเวลา/ลายน้ำประกอบ ถ้ารูปทุกใบเหมือนหลุดมาจากแคตตาล็อกไลฟ์สไตล์ มีโอกาสสูงว่าเขาไม่มีสต็อกจริง
• ไม่มีรีวิวหรืออ้างอิงทางการค้าที่ตรวจสอบได้ ซัพพลายเออร์คุณภาพดีมักภูมิใจกับผลงานของตัวเอง ถ้าให้ข้อมูลธุรกิจอื่นที่เคยร่วมงานไม่ได้ หรือรีวิวทั้งหมดดูคล้ายกันแบบก๊อปมา ควรเลี่ยง
ถ้าขั้นพื้นฐานเหล่านี้ผ่านไม่ครบ ให้หาต่อที่อื่นดีกว่า การใช้เวลาเช็กซัพพลายเออร์ให้แน่นอน ยังดีกว่าเสียเงินให้กับผู้ค้าส่งปลอมที่ไม่มีสินค้าแม้แต่ชิ้นเดียวส่งให้คุณ
ทำความเข้าใจเงื่อนไขและวิธีการชำระเงิน
เมื่อเช็กความน่าเชื่อถือเรียบร้อย ขั้นตอนถัดไปคือดูว่าซัพพลายเออร์ต้องการให้คุณชำระเงินแบบไหนเมื่อสั่งสินค้าแบบยกล็อต
รูปแบบการชำระเงินที่พบได้บ่อยในตลาดขายส่ง มีดังนี้
- Escrow เงินจะถูกพักไว้กับบุคคลที่สามจนกว่าคุณจะยืนยันว่าของถึงจริง เหมาะสำหรับผู้ซื้อรายใหม่ แม้จะมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อยก็ตาม
- Letter of credit (LC) ธนาคารของคุณเป็นผู้การันตีการชำระเงินหลังจากเงื่อนไขสัญญาถูกทำครบถ้วน วิธีนี้พบมากในคำสั่งซื้อระหว่างประเทศที่มีมูลค่าสูง
- Consignment หรือการฝากขาย โดยเป็นการจ่ายเงินหลังจากสินค้าขายได้ตามจริงแบบนี้ค่อนข้างหายาก แต่ถ้าตกลงได้จะช่วยลดความเสี่ยงล่วงหน้าได้มาก
เข้าใจเรื่องจำนวนสั่งขั้นต่ำ
MOQ คือจำนวนขั้นต่ำที่ซัพพลายเออร์ยอมขายต่อหนึ่งออเดอร์ ซึ่งถูกกำหนดเพื่อให้การผลิตคุ้มต้นทุน แต่สำหรับผู้เริ่มขายอาจรู้สึกเหมือนเป็นกำแพงใหญ่
วิธีรับมือ MOQ มีดังนี้
- ต่อรองให้ MOQ ลดลง โดยแสดงให้เห็นว่าคุณจริงจังและต้องการร่วมงานระยะยาว
- จับกลุ่มกับผู้ขายรายอื่นเพื่อสั่งรวมกัน แล้วแบ่งสินค้าและค่าใช้จ่าย
- มองหาซัพพลายเออร์ที่มี MOQ ต่ำ หรือไม่มี MOQ เลย โดยเฉพาะตอนทดลองสินค้าตัวใหม่
ยิ่ง MOQ สูง เงินสดที่ต้องจมไว้ก็ยิ่งมาก และความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นหากสินค้าขายไม่ออก เริ่มจากปริมาณเล็กก่อนจนกว่าจะมั่นใจว่าสินค้านั้นหมุนได้จริง
2. ทดสอบสินค้าขายส่ง
เมื่อคุณตรวจสอบซัพพลายเออร์แล้ว ก็ควรตรวจสอบสินค้าขายส่งด้วย วิธีที่ดีที่สุดคือสั่งตัวอย่างมาดูคุณภาพจริง เมื่อสินค้าตัวอย่างมาถึง ให้ประเมินว่าของมีความทนทานและคุณภาพสูงหรือไม่ สินค้าดูเป็นอย่างไรเมื่อเห็นตัวจริง? สัมผัสเป็นยังไง? ถ้าเป็นสินค้าที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาหรือใช้งานเฉพาะด้าน มันทำงานได้ดีและสะดวกแค่ไหน?
อย่าลืมว่าสินค้าขายส่งที่ดีที่สุดคือสินค้าที่ใช้งานง่าย สิ่งสุดท้ายที่คุณอยากเจอคือสินค้าที่ซับซ้อนจนต้องเสียเวลาและงบเยอะในการสอนลูกค้าให้ใช้เป็น
3. คำนวณกำไรต่อชิ้น
อัตรากำไรขั้นต้น คือส่วนต่างระหว่างต้นทุนสินค้ากับราคาที่คุณขายได้
เมื่อสั่งสินค้าขายส่งในปริมาณมาก มักได้ต้นทุนต่อชิ้นที่ถูกลง ส่งผลให้กำไรขั้นต้นสูงขึ้น หลักการนี้เรียกว่าเศรษฐกิจต่อขนาด
ก่อนตัดสินใจสั่งสินค้าขายส่งทุกครั้ง ควรใช้เครื่องคำนวณกำไรต่อชิ้นตรวจสอบให้แน่ใจว่า เมื่อจ่ายค่าของครบแล้ว ยังมีกำไรเหลือมากพอสำหรับธุรกิจของคุณ
คำนวณอัตรากำไรด้วยเครื่องมือฟรีของ Shopify
NYU Stern School of Business รายงาน ว่าอัตรากำไรที่ดีสำหรับผู้ค้าปลีกออนไลน์อยู่ที่ประมาณ 42.78% ถือเป็นระดับต่ำสุด เพราะยิ่งมาร์จิ้นสูงขึ้นเท่าไร คุณก็ยิ่งทำกำไรได้มากขึ้นจากการขายสินค้าขายส่งต่อ
อย่าลืมว่าการขายต่อสินค้าขายส่งยังมีต้นทุนอื่น ๆ เช่น ค่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ค่าโฆษณา และค่าการตลาด ตรวจให้แน่ใจว่าหลังหักค่าซัพพลายเออร์แล้ว ยังเหลือกำไรมากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้
คำนวณต้นทุนการจัดส่ง
เมื่อซื้อสินค้าขายส่ง คุณสามารถสั่งจากซัพพลายเออร์ที่อยู่คนละภูมิภาค หรือแม้แต่คนละทวีปได้ หากทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ควรคำนึงถึงทั้งค่าขนส่งจากซัพพลายเออร์มายังคุณ และค่าจัดส่งจากคุณไปยังลูกค้า
แม้ว่าสินค้าขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก เช่น เฟอร์นิเจอร์ จะขายได้กำไร แต่ก็มักมีปัญหาด้านโลจิสติกส์มากกว่า
สินค้าชิ้นเล็กและน้ำหนักเบามักส่งง่ายและประหยัดกว่า ด้วยเหตุนี้หลายธุรกิจจึงใช้กฎง่าย ๆ ว่า สินค้าควรมีขนาดพอจะใส่ในกล่องรองเท้าได้ และมีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม
อีกเรื่องที่ต้องคิดคือความทนทานของสินค้า เช่น การส่งแก้วทำมือหรือเครื่องเสียงบลูทูธมีความเสี่ยงเสียหายระหว่างทางสูงกว่าเสื้อยีนส์มาก
สินค้าที่ทนทานและมีชิ้นส่วนน้อยขนส่งง่ายกว่า โอกาสเสียหายน้อยลง และช่วยลดอัตราการคืนสินค้าในระยะยาว
4. ค้นหาราคาขายปลีกกลางที่เหมาะสม
แม้จะได้สินค้าที่มีมาร์จิ้นดี แต่ถ้าราคาขายปลีกต่ำเกินไป ก็ยังทำกำไรลำบากอยู่ดี ถ้าคุณซื้อดินสอในราคา 3 บาท แล้วขาย 15 บาท คุณได้กำไร 12 บาทต่อชิ้น (มาร์จิ้นราว 80%) อย่างไรก็ตามคุณต้องขายดินสอหลายพันแท่งถึงจะทำรายได้ที่คุ้มสำหรับร้านออนไลน์
ในทางกลับกัน หากราคาขายปลีกที่ผู้ผลิตแนะนำ (MSRP) สูงเกินไป คุณอาจพบว่ามันอาจจะขายยาก เช่น เสื้อแจ็กเก็ตราคา 5,400 บาท ลูกค้าจะคิดเยอะกว่าหมวกใบละ 700 บาทแน่นอน ดังนั้นควรเช็กราคา MSRP และเริ่มจากสินค้าที่มีราคาขายปลีกประมาณ 500–7,000 บาท
หากคุณซื้อสินค้าหลายรายการในช่วงราคานั้น คุณสามารถใช้สินค้าที่มีราคาหลากหลายเพื่อขายเพิ่มและขายควบได้ ตัวอย่างเช่น หากลูกค้ากำลังซื้อมอยส์เจอไรเซอร์ราคา 1,000 บาท คุณอาจเพิ่มมูลค่าออเดอร์ (AOV) ด้วยการขายควบเป็นแผ่นมาสก์ 350 บาท หรืออัปเซลเป็นครีมสูตรพรีเมียมราคาสูงกว่าเดิมก็ได้
5. วิเคราะห์คู่แข่ง
ตลาดจะมีความอิ่มตัว เมื่อมีธุรกิจค้าปลีกจำนวนมากขายสินค้าชนิดเดียวกันหลายเจ้า และอาจเป็นเรื่องยากที่จะโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ดังนั้นจึงง่ายกว่าที่จะซื้อสินค้าขายส่งในตลาดที่มีการแข่งขันต่ำ
ลองเช็กในแพลตฟอร์มอย่าง Amazon เพื่อประเมินการแข่งขันและหาสินค้าที่ขายดี ดูว่ามีธุรกิจกี่รายที่ขายผลิตภัณฑ์นี้อยู่แล้ว? ถ้ามีร้านขายอยู่เป็นแสน ๆ ราย แสดงว่าตลาดนั้นมีการแข่งขันสูง นั่นอาจเป็นช่องว่างที่คุณเข้าไปเติมได้
6. ประเมินความต้องการในตลาด
แม้คุณจะเจอสินค้าขายส่งที่ราคาถูกและมีคู่แข่งน้อย แต่ถ้าไม่มีใครขายเลย ก็อาจเป็นเพราะไม่มีดีมานด์ตั้งแต่แรก
วิธีดูว่าลูกค้าต้องการสินค้าชิ้นนั้นจริงไหมคือใช้ Facebook Ad Library ค้นหาแคมเปญโฆษณาที่กำลังรันอยู่ ถ้าพบว่ามีหลายร้านกำลังทุ่มโฆษณาสำหรับสินค้าชิ้นเดียวกัน แปลว่ามีโอกาสสูงที่สินค้านั้นกำลังทำเงินให้พวกเขา
ถ้าหาสินค้าที่คู่แข่งน้อยและดีมานด์สูงได้ยาก ลองมองหาสินค้าเฉพาะกลุ่ม (niche) มากขึ้น ความแตกต่างของสินค้าเหล่านี้จะช่วยให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง และเพิ่มความต้องการได้ในตลาดเฉพาะทาง
7. เช็กเทรนด์ตามฤดูกาล
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาล วันหยุดยาว ฤดูร้อน หรืออีเวนต์ใหญ่ ๆ มักมีสินค้าที่ขายดีเฉพาะช่วงตามดีมานด์ของฤดูกาล แต่มี 2 เรื่องที่ต้องระวัง
- การเลือกเวลาที่เหมาะสม การวางแผนกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซตามฤดูกาลมักใช้เวลาหลายเดือนไปจนถึงหนึ่งปี
- ยอดขายจะไม่สม่ำเสมอ แม้จะขายสินค้าตามเทศกาลได้ดี แต่ทันทีที่ซีซันจบ ยอดขายมักจะดรอปลงอย่างรวดเร็ว
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจแบบซื้อสินค้าขายส่งมาขายต่อ หรืออยากให้ร้านเติบโตได้ตลอดทั้งปี ควรหลีกเลี่ยงสินค้าตามฤดูกาล แล้วเลือกสินค้าที่ขายได้ตลอดปีแทน
ตลาดขายส่งออนไลน์ที่ดีที่สุดสำหรับหาสินค้าขายส่งราคาถูก
แพลตฟอร์มต่อไปนี้ ช่วยให้คุณหาสินค้าขายส่งที่ราคาถูกมาเริ่มขายออนไลน์ได้ง่ายขึ้น
Faire
ผู้ค้าปลีกขายของขวัญในวันหยุดบน Faire
Faire คือมาร์เก็ตเพลสออนไลน์สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก ปัจจุบันมีแบรนด์มากกว่า 100,000 แบรนด์จากกว่า 120 ประเทศ และมีผู้ค้าปลีกหลายแสนรายในอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลียใช้งานอยู่
การสั่งซื้อแบบขายส่งบน Faire สามารถซิงก์เข้ากับ Shopify admin ได้ง่ายผ่านแอป Faire: Buy Wholesale และ Faire: Sell Wholesale เข้าร่วม Faire ได้ฟรี และแบรนด์จะถูกคิดคอมมิชชันเฉพาะเมื่อ Faire เป็นผู้แนะนำให้เจอกับผู้ค้าปลีกรายใหม่บนแพลตฟอร์มเท่านั้น
แบรนด์ยังสามารถให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติมกับผู้ค้าปลีกที่พามาจากช่องทางของตัวเอง เช่น เงื่อนไขการชำระเงิน 60 วัน (สำหรับร้านค้าที่มีสิทธิ์) และการคืนสินค้าฟรีสำหรับออเดอร์แรก
Alibaba
Alibaba เป็นตลาด B2B ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ให้บริการแบรนด์ในกว่า 240 ประเทศและภูมิภาค เป็นเว็บที่ดีที่สุดในการค้นหาสินค้าขายส่งราคาถูกจากซัพพลายเออร์และผู้จัดจำหน่ายในจีน
Alibaba ยังมีพอร์ทัลดรอปชิปแยกเฉพาะ ทำให้ร้านบน Shopify ส่งข้อมูลสินค้า ซิงก์สต็อก และจัดการออเดอร์ได้จากแท็บ My Store ได้เลย
TradeIndia
TradeIndia มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียนมากกว่าหนึ่งล้านราย ใช้ค้นหาซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้และสินค้าขายส่งราคาถูกที่สำหรับนำไปขายต่อ
Worldwide Brands
Worldwide Brands (WWB) เป็นหนึ่งในไดเรกทอรีซัพพลายเออร์ขายส่ง B2B ที่เปิดมานานที่สุด มีสินค้าขายส่งมากกว่า 16 ล้านรายการ ค่าเข้าถึงแบบตลอดชีพอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท (299 ดอลลาร์)
เปลี่ยนสินค้าขายส่งราคาถูกให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้
การเลือกผลิตภัณฑ์ขายส่งราคาถูกมาขายต่อมีหลายปัจจัยให้คิด แต่จุดเริ่มต้นของความสำเร็จคือการเลือกสินค้าที่มีศักยภาพจริง ตรวจสอบให้ครบทั้งกำไร คู่แข่ง และความต้องการของลูกค้า ก่อนตัดสินใจสั่งซื้อ จากนั้นหา ซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้ และทดสอบคุณภาพสินค้าก่อนสั่งล็อตใหญ่ทุกครั้ง
หากตลาดขายส่งมีการแข่งขันสูงเกินไป คุณสามารถติดต่อแบรนด์ Shopify ที่ใช้แพลตฟอร์มเพื่อขายสินค้าขายส่งของตนเอง เพื่อเสนอขายสินค้าของคุณในรูปแบบขายส่งก็ทำได้ ทั้ง 2 แนวทางช่วยให้ร้านของคุณเจอสินค้าที่แตกต่างและมีโอกาสสร้างกำไรได้มากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสินค้าขายส่งราคาถูกสำหรับขายต่อ
เว็บขายส่งที่ดีที่สุดคือเว็บไหน?
ไม่มีเว็บที่ดีที่สุดแบบตายตัว แต่เว็บขายส่งยอดนิยมคือ Alibaba (ผู้ผลิตทั่วโลก), Faire (เหมาะกับแบรนด์อินดี้และบูติก), และ Global Sources (สายอิเล็กทรอนิกส์และอะไหล่) การเลือกขึ้นอยู่กับกลุ่มสินค้าที่ขาย และว่าคุณตามหาอะไร เช่น ร้านที่ขายของราคาถูกที่สุด แบรนด์คัดสรร หรือซัพพลายเออร์ที่ผลิตสินค้าเองโดยตรง
ต้องมีบริษัทหรือนิติบุคคลก่อนถึงจะซื้อขายส่งได้ไหม?
การค้าปลีกอาร์บิทราจคือกระบวนการซื้อผลิตภัณฑ์ในจำนวนมากในราคาต่ำจากผู้ค้าส่ง จากนั้นแบรนด์จะขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของตนเองหรือร้านค้าจริง โดยมีการทำกำไร
จะซื้อของขายส่ง ต้องจดบริษัทก่อนหรือไม่?
ไม่จำเป็นเสมอไป ร้านค้าหลายแห่งสามารถซื้อของขายส่งได้โดยยังเป็นผู้ประกอบการบุคคลธรรมดา แต่ถ้าซัพพลายเออร์รายใหญ่หรือโรงงานที่มีมาตรฐาน อาจมีการขอเอกสารพื้นฐาน เช่น ใบทะเบียนพาณิชย์ หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของกิจการ
ผู้ค้าส่งหาสินค้ามาจากไหน?
ผู้ค้าส่งส่วนใหญ่ซื้อโดยตรงจากโรงงานหรือผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ โดยซื้อปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนต่อชิ้น บางรายเน้นซื้อในประเทศ ขณะที่บางรายนำเข้าจากจีน อินเดีย หรือเวียดนาม
ซื้อของยกล็อตแล้วนำไปขายต่อได้มั้ย?
ได้ นี่คือโมเดลที่เรียกว่า retail arbitrage คือการซื้อสินค้าในราคาต่ำจากผู้ค้าส่ง แล้วนำไปขายต่อผ่านร้านออนไลน์หรือหน้าร้าน ด้วยการบวกกำไรเพิ่มเข้าไป
มีสินค้าประเภทไหนที่ซื้อยกล็อตมาขายต่อได้ง่ายๆ บ้าง?
มักเป็นกลุ่มเครื่องประดับ อุปกรณ์ปาร์ตี้ ของตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ครัว เสื้อผ้าผู้หญิง และสินค้าบิวตี้ต่าง ๆ
แบบไหนถูกกว่า ซื้อขายส่งหรือซื้อปลีก?
ซื้อขายส่งจากผู้ผลิตโดยตรงมักถูกกว่าการซื้อจากร้านค้าปลีก เพราะร้านค้าปลีกต้องบวกกำไรและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในขณะที่ผู้ที่ซื้อแบบขายส่งได้ราคาดีกว่าเพราะซื้อปริมาณมาก


