การดึงทราฟฟิกและเพิ่มคอนเวอร์ชันคือหัวใจสำคัญของร้านออนไลน์ทุกแห่ง แต่แม้จะมีแผนพื้นฐานอยู่แล้ว การเลือกกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซที่เหมาะกับธุรกิจก็ยังเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากได้เหมือนกัน
กลยุทธ์และเครื่องมือการตลาดอีคอมเมิร์ซเหล่านี้จะช่วยให้ยอดขายออนไลน์ดีขึ้น ดึงลูกค้าใหม่เข้ามา และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ พร้อมเริ่มลงมือไหม? ลองทำทีละหนึ่งแทคติกทุกวันต่อเนื่องสักสองสามสัปดาห์ แล้วค่อยดูผลลัพธ์ว่าเทคนิคไหนช่วยดันทราฟฟิกและยอดขายได้ดีที่สุด
การตลาดอีคอมเมิร์ซคืออะไร?
การตลาดอีคอมเมิร์ซคือการใช้วิธีโปรโมตต่าง ๆ เพื่อดึงคนเข้าร้านออนไลน์ เปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้ซื้อ และรักษาการซื้อซ้ำหลังปิดการขาย ตัวอย่างแทคติกที่ช่วยเพิ่มยอดขาย เช่น การทำ SEO เพื่อให้ร้านมองเห็นง่ายขึ้น อีเมลมาร์เก็ตติ้งเพื่อเลี้ยงลีด และการสร้างเอ็นเกจบนโซเชียลเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้า
กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซที่ได้ผล มักผสานทั้งเครื่องมือดิจิทัลและวิธีออฟไลน์ เช่น การส่งข้อความ เพื่อให้ร้านใช้ประโยชน์จากทุกช่องทางการตลาดที่มีอยู่ครบถ้วน
กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ มีอะไรบ้าง
การทำเว็บให้ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน (SEO)
การทำ SEO ช่วยเชื่อมร้านเข้ากับผู้ซื้อที่กำลังมองหาสินค้าอยู่แบบตั้งใจจริง การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะสมจะเพิ่มโอกาสให้ร้านไปอยู่ในอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERPs)
แทคติก SEO สำคัญที่ควรอยู่ในแผนการตลาดอีคอมเมิร์ซ ได้แก่
- การใช้คีย์เวิร์ดเดียวกับที่กลุ่มเป้าหมายใช้
- การสร้างคอนเทนต์คุณภาพ
- การทำแบ็กลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์
- การปรับความเร็วของเว็บให้ดีขึ้น
- การยกระดับประสบการณ์ใช้งานให้ลื่นไหล
โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง
ปัจจุบันมีผู้คนราว 63% ทั่วโลกใช้งานโซเชียลมีเดีย กลยุทธ์โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้งจึงช่วยกำหนดว่าแพลตฟอร์มไหนและคอนเทนต์รูปแบบใดที่กลุ่มผู้ติดตามสนใจ รวมถึงวิธีนำสิ่งเหล่านี้มาโปรโมตสินค้าให้ได้ผล แผนควรครอบคลุมวิธีหาเทรนด์ที่เกี่ยวข้อง และตัวชี้วัด (KPIs) ที่ใช้วัดความสำเร็จด้วย
อีเมลมาร์เก็ตติ้ง
อีเมลมาร์เก็ตติ้งช่วยเชื่อมแบรนด์เข้ากับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อได้โดยตรง ผ่านพื้นที่ส่วนตัวที่สุดอย่างกล่องอีเมล สถิติบอกว่า 87% ของนักการตลาดใช้วิธีนี้ และ 14% มองว่าอีเมลคือกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซที่ให้ ROI สูงที่สุด
ประเภทอีเมลยอดนิยมของนักการตลาดอีคอมเมิร์ซ ได้แก่
- จดหมายข่าว
- อีเมลต้อนรับ
- อีเมลฉลองโอกาสพิเศษ (เช่น วันเกิด)
- อีเมลโปรโมชัน
- อีเมลขอความคิดเห็น
💡เคล็ดลับ: Shopify Email นำเสนอโปรแกรมและเครื่องมืออีเมลมาร์เก็ตติ้งให้ใช้ครบในที่เดียว ตั้งแต่ฟอร์มสมัครสมาชิก การแบ่งกลุ่มผู้ชม ไปจนถึงเทมเพลตอีเมลที่ปรับแต่งได้ ช่วยให้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นมาก
อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง
โซเชียลมีเดียทำให้ครีเอเตอร์สามารถสร้างรายได้ผ่านงานอินฟลูเอนเซอร์ได้เต็มตัว นักการตลาดกว่าครึ่งเลือกทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ เพราะผู้บริโภคเชื่อว่าครีเอเตอร์เป็นแหล่งแนะนำสินค้าที่ไว้ใจได้
อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งคือการให้ครีเอเตอร์โปรโมตสินค้า แลกกับของแถม ค่าคอมมิชชัน หรือค่าจ้างต่อโพสต์ เรตจ้างแตกต่างกันไป แต่โดยเฉลี่ยนาโนอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามไม่เกิน 10,000 คนคิดค่าจ้างประมาณ 170–3,400 บาทต่อโพสต์
แอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้ง
แอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้งมีความคล้ายกับอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง แต่พาร์ตเนอร์ไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตามจำนวนมาก (แม้จะช่วยได้ก็ตาม) แบรนด์จะจ่ายค่าคอมมิชชันให้พาร์ตเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นบล็อกเกอร์ ครีเอเตอร์ หรือแม้แต่ลูกค้าที่ใช้จริงเมื่อมีการโปรโมตสินค้าและสร้างยอดขายให้
เครื่องมือแอฟฟิลิเอต เช่น Shopify Collabs จะสร้าง URL เฉพาะสำหรับแต่ละพาร์ตเนอร์ ทำให้ติดตามจำนวนผู้เข้าชมและคำนวณค่าคอมมิชชันได้ง่ายขึ้น
การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC)
ในโมเดล การโฆษณา PPC คุณจะจ่ายเฉพาะเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของคุณ คุณสามารถใช้การโฆษณา PPC บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google, Meta และ Microsoft
กลยุทธ์ที่ปรับแต่งได้สูงนี้เหมาะสำหรับงบประมาณที่จำกัด กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการให้เห็นโฆษณาของคุณและจ่ายสำหรับแคมเปญเมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ อย่าลืมว่าคุณต้องมีเว็บไซต์ที่ปรับแต่งอย่างดีเพื่อเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าหลังจากที่พวกเขาคลิกโฆษณาของคุณ
26 ไอเดียการตลาดอีคอมเมิร์ซเพิ่มยอดขาย
- ลงทุนทำ SEO
- จัดแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์
- ขายสินค้าบนมาร์เก็ตเพลส
- วางกลยุทธ์การตลาดบน TikTok
- ทำแคมเปญโฆษณาแบบ PPC
- เสนอการอัปเซลสินค้า
- เชื่อมต่อร้านกับ IG
- ลดอัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า
- ส่งแคมเปญข้อความ (SMS)
- ดึงผู้ติดตามอีเมลให้มากขึ้น
- พัฒนาอีเมลแคมเปญให้แม่นยำขึ้น
- ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้ง่าย
- พูดคุยกับผู้เข้าชมผ่านไลฟ์แชต
- คาดการณ์โอกาสการขายล่วงหน้า
- เริ่มทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
- ใช้การปรับแต่งแบบเฉพาะตัว
- ใช้คอนเทนต์จากลูกค้า (UGC)
- โฟกัสตลาดท้องถิ่น
- ปรับแต่งเว็บหน้าสินค้าให้ดีขึ้น
- ให้ของขวัญกับลูกค้าประจำ
- ปรับให้เว็บร้านเหมาะกับมือถือ
- จัดสินค้าขายเป็นเซ็ท
- สร้างภาพสินค้าแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ
- เริ่มทำวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง
- จัดสัมมนาหรือเวิร์กช็อป
- เริ่มโปรแกรมแอฟฟิลิเอต
1. ลงทุนทำ SEO
Ecommerce SEO คือการปรับเว็บไซต์ร้านออนไลน์ให้ติดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน เช่น Google, Bing และ Yahoo เป้าหมายคือให้หน้าสินค้าไต่ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ เพราะผลลัพธ์แบบออร์แกนิกอันดับแรกมีโอกาสถูกคลิกมากกว่าอันดับที่ 10 ถึงสิบเท่า ซึ่งช่วยดึงทราฟฟิกแบบไม่ต้องจ่ายโฆษณาเข้าร้านได้มากขึ้น
การลงทุนทำ SEO ทำได้โดย
- ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง แล้วใส่ลงใน URL รายละเอียดสินค้า และบล็อกโพสต์
- ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ และสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี
- ทำแบ็กลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
การทำตามแนวทางเหล่านี้ช่วยให้ร้านไปโผล่ในคำค้นหายอดนิยมที่เกี่ยวกับสินค้าได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างในภาพคือ Everyday Yoga และ Beyond Yoga ที่ติดอันดับหน้าแรกบน Google สำหรับคำว่า “women’s yoga pants” ซึ่งมีคนค้นหามากกว่า 2,400 ครั้งต่อเดือน

2. จัดแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์
การทำงานร่วมกับครีเอเตอร์หรือผู้มีอิทธิพลบนโซเชียลช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มผู้ติดตามใหม่ เพิ่มการรับรู้ และกระตุ้นยอดขายได้ดี
รายงานล่าสุดเผยว่า มากกว่า 80% ของนักการตลาดมองว่าอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งได้ผลสูง โดย Instagram เป็นช่องทางยอดนิยมที่สุด แบรนด์กว่า 57% ใช้งานอยู่ ส่วนช่องทางอื่นที่ใช้กัน ได้แก่
- YouTube
- TikTok
- Snapchat
- Twitch
อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งช่วยระบุกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีมาก ลองคิดดูว่าเคยเห็นโพสต์ของอินฟลูเอนเซอร์ใน Instagram แล้วชอบสิ่งที่เขาใส่จนอยากซื้อบ้างไหม? การโปรโมตสินค้าผ่านครีเอเตอร์ช่วยย่นระยะเวลาการตัดสินใจซื้อได้เยอะ อีกทั้งฟีเจอร์โซเชียลคอมเมิร์ซบน Instagram และ TikTok ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้ลูกค้ากดซื้อได้ตรงจากแพลตฟอร์มทันที
3. ขายสินค้าบนมาร์เก็ตเพลส
มาร์เก็ตเพลสอย่าง Amazon และ eBay ที่มีผู้ใช้นับล้านทั่วโลกช่วยให้คนเจอแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ลูกค้าบางกลุ่มเป็นสายช้อปบนมาร์เก็ตเพลสโดยเฉพาะ ทำให้โอกาสปิดการขายบนช่องทางที่คุ้นเคยสูงกว่า
อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมขายค่อนข้างสูง จึงเหมาะให้ใช้เป็นช่องทางเสริม ควบคู่กับร้านหลักของแบรนด์ ใช้มาร์เก็ตเพลสเพื่อโชว์สินค้าขายดี ทำให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น และใส่อินเสิร์ตบรรจุภัณฑ์แบรนด์ลงในออเดอร์จากมาร์เก็ตเพลส เพื่อชวนลูกค้ามาช้อปต่อบนเว็บไซต์โดยตรง
📚 อ่านเพิ่มเติม: เว็บไซต์และมาร์เก็ตเพลสที่ใช้ขายสินค้าออนไลน์
4. วางกลยุทธ์การตลาดบน TikTok
หลายธุรกิจเติบโตบน TikTok เพราะคอนเทนต์ที่จริงใจ ไม่ต้องเนี้ยบมาก มักได้ยอดเข้าถึงและเอ็นเกจสูงกว่าวิดีโอที่ตัดต่อหนัก ๆ
จุดเด่นของ TikTok ที่ทำให้ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น ได้แก่
- อัลกอริทึมให้ความสำคัญกับคอนเทนต์จากครีเอเตอร์ที่ผู้ใช้ไม่เคยเห็นมาก่อน
- ดีไซน์ของแอปทำให้คนใช้เวลานานกว่า Instagram หรือ Facebook
- ระบบค้นหา (Discovery engine) ช่วยให้วิดีโอกลายเป็นไวรัลได้ แม้ผู้ติดตามจะไม่เยอะ
TikTok ยังเหมาะกับการยิงแอดแบบเจาะกลุ่มเฉพาะทาง ทั้ง Live Shopping และ TikTok Ads ที่ช่วยโปรโมตสินค้าได้ตรงกลุ่มมากขึ้น
5. ทำแคมเปญโฆษณาแบบ PPC
โฆษณาแบบ PPC เป็นวิธีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและขยายผลได้ง่าย Google ประเมินว่าการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิกให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 280 บาทต่อทุก ๆ 35 บาทที่ลงทุน โฆษณา PPC จะไปแสดงในพื้นที่โฆษณาบนเสิร์ชเอนจิน โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่พร้อมกดสั่งได้ทันที ซึ่งมักสร้างยอดขายได้มากกว่าการตลาดแบบออร์แกนิก ช่องทางยอดนิยมของ PPC คือ Facebook และ Google
ตัวอย่างเช่น การค้นหาคำว่า “รองเท้าบูทผู้ชาย” บน Google จะมีแอดสินค้าที่เกี่ยวข้องขึ้นมาแบบละเอียด ช่วยให้ผู้ซื้อเจอสินค้าที่ต้องการได้ไวขึ้น

เมื่อยิงโฆษณาบน Facebook (และ Instagram) สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดมาก และเลือกใช้รูปแบบแอดได้หลากหลาย
ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของโฆษณา PPC คือการเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจ เช่น ทำแอดรีทาร์เก็ตคนที่เคยเข้าเพจสินค้าบางหน้า เพื่อดึงให้กลับมาช้อปอีกครั้ง
ลองนึกภาพว่ามีร้านรองเท้าและต้องการโปรโมตรองเท้าบูทกันฝนรุ่นใหม่ ก็สามารถสร้างชุดโฆษณาที่เจาะคีย์เวิร์ดอย่าง “รองเท้าบูทกันฝนที่ดีที่สุด” เพื่อให้แอดไปปรากฏต่อหน้าคนที่กำลังมองหาสินค้าแบบนี้อยู่พอดี
6. เสนอการอัปเซลสินค้า
ประโยคคลาสสิกอย่าง “เพิ่มไซซ์ไหมคะ?” คือหนึ่งในตัวอย่างของการอัปเซล ซึ่งหมายถึงการแนะนำสินค้าที่ใหญ่กว่า หรือพรีเมียมกว่าสิ่งที่ลูกค้าตั้งใจจะซื้อในตอนแรก
สำหรับร้านออนไลน์หลายแห่ง การอัปเซลและครอสเซลให้ผลดีกว่าการหาลูกค้าใหม่ด้วยซ้ำ เพราะหลายครั้งลูกค้าอาจไม่รู้ว่ามีรุ่นพรีเมียมให้เลือก หรือเพียงต้องการเหตุผลเพิ่มเติมว่าการอัปเกรดช่วยตอบโจทย์อย่างไร
ตัวอย่างเช่น ถ้าสินค้าบางรุ่นทำจากหนังคุณภาพดีกว่ารุ่นอื่น หรือมีชิ้นส่วนแฮนด์เมด ก็ควรเน้นจุดเด่นเหล่านี้ให้ชัด และถามตอนเช็กเอาต์ว่าอยากอัปเกรดหรือไม่
💡เคล็ดลับ: ใช้แอป ReConvert บน Shopify เพื่อทำอัปเซลและครอสเซลภายในร้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เชื่อมต่อร้านกับ IG
ถ่ายภาพสินค้าสวย ทำรีลหรือวิดีโอที่คนดูแล้วอยากติดตาม และมีแผนคอนเทนต์ที่ชัด ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างฐานผู้ติดตามบน Instagram ได้ไม่ยาก ขั้นต่อไปคือการเอ็นเกจกับผู้ติดตามอย่างสม่ำเสมอ
ลองจัดกิจกรรมแจกของ หรือพาไปดูเบื้องหลังขั้นตอนการผลิตสินค้า และสามารถลงโฆษณาบน Instagram เพื่อเพิ่มการมองเห็นได้อีก การแท็กสินค้าในโพสต์ Stories หรือ Reels ทำให้ลูกค้ากดซื้อได้ทันที ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายออนไลน์ได้มาก
💡เคล็ดลับ: เชื่อม Instagram Shop เข้ากับ Shopify เพื่อซิงก์แคตตาล็อกสินค้าและจัดการออเดอร์จากในแอดมิน Shopify ได้เลย
8. ลดอัตราการทิ้งตะกร้าสินค้า
ทุกครั้งที่ผู้เข้าชมทิ้งตะกร้าโดยไม่ซื้อ ร้านจะเสียโอกาสทันที และกว่า 70% ของการช้อปออนไลน์เกิดเหตุการณ์นี้
วิธีที่ง่ายและได้ผลคือการทำอีเมลกู้ตะกร้า เพื่อดึงลูกค้ากลับมาชำระเงินให้จบ ลองเขียนอีเมลที่เตือนว่าพวกเขากำลังดูอะไรอยู่ พร้อมอธิบายว่าทำไมสินค้านั้นถึงคุ้มค่าที่จะซื้อ
ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้า Alex Mill ใช้คูปองลด 15% เพื่อจูงใจให้ลูกค้าที่ทิ้งตะกร้ากลับมาทำการสั่งซื้อให้เสร็จสมบูรณ์

9. ส่งแคมเปญข้อความ (SMS)
การส่งข้อความโปรโมตผ่าน SMS ให้ลูกค้าเดิมและลูกค้าที่อาจสนใจคือสิ่งที่เรียกว่า SMS มาร์เก็ตติ้ง ข้อความเหล่านี้ใช้แจ้งโปรโมชัน ข้อเสนอพิเศษ ข่าวอัปเดต แจ้งเตือน และข้อมูลสินค้าได้หลากหลาย
สำหรับร้านออนไลน์ สามารถใช้ SMS มาร์เก็ตติ้งเพื่อ
- กู้ตะกร้าที่ถูกทิ้ง
- ทำครอสเซลและอัปเซล
- โปรโมตแคมเปญลดราคาและข้อเสนอพิเศษ
- เชิญชวนให้เขียนรีวิว
- ให้การช่วยเหลือลูกค้า
ตัวอย่างเช่น Bushbalm ใช้ SMS มาร์เก็ตติ้งเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ติดตาม ซีรีส์ข้อความต้อนรับแบบออโต้ที่แนะนำแบรนด์และสินค้าขายดี มักได้อัตราคลิกมากกว่า 50% อย่างสม่ำเสมอ
💡เคล็ดลับ: เริ่มทำ SMS มาร์เก็ตติ้งได้ทันทีผ่านแอป Shopify อย่าง Attentive หรือ Klaviyo
10. ดึงผู้ติดตามอีเมลให้มากขึ้น
เมื่อเทียบผลลัพธ์ต่อเงินที่ใช้ อีเมลมาร์เก็ตติ้งถือเป็นหนึ่งในช่องทางที่คุ้มค่าที่สุด
เริ่มต้นได้ด้วยการโปรโมตจดหมายข่าว บล็อก หรือช่องทางเก็บอีเมลอื่น ๆ ให้ชัดเจนที่สุด เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม เด็กเสื้อผ้าแบรนด์ Mori เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะให้การสมัครอีเมลเป็นจุดสำคัญของหน้าเว็บไซต์ และยังเก็บข้อมูลจากผู้ติดตามผ่านคำถามว่าแต่ละคนมีลักษณะตรงกับเพอร์โซน่าแบบใดด้วย

11. พัฒนาอีเมลแคมเปญให้แม่นยำขึ้น
มีอีเมลให้เก็บข้อมูลไม่พอ ต้องส่งอีเมลที่สม่ำเสมอและมีประโยชน์จริงจังถึงจะทำงานเป็นกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซได้ดี
โอกาสที่เหมาะกับการส่งอีเมลมีหลายแบบ และเป็นสิ่งที่ผู้ติดตามอยากได้รับจริง เช่น
- ส่งอีเมลต้อนรับหลังการสั่งซื้อครั้งแรก
- ให้โค้ดโปรโมชันพิเศษหรือของขวัญเล็ก ๆ
- ส่งจดหมายข่าวเป็นประจำ เพื่อแจ้งส่วนลด เคล็ดลับการใช้สินค้า และข่าวแบรนด์เมื่อเหมาะสม
- แชร์คอนเทนต์ที่ช่วยให้ใช้สินค้าที่เพิ่งซื้อได้ดีขึ้น
- จัดแคมเปญ BOGO (ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง) ช่วงเทศกาลเพื่อกระตุ้นยอดซื้อของขวัญ
- ส่งโน้ตขอบคุณแบบส่วนตัวให้ลูกค้าที่มีมูลค่าสูง
- ขอความคิดเห็น หากมีคนเข้ามาในเว็บแต่ไม่ได้ซื้อ ลองถามว่ามีอะไรที่ควรปรับปรุง
12. ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้ง่าย
เว็บไซต์ที่ออกแบบดีจะดึงดูดลูกค้าได้มากกว่า เป้าคือทำให้คนที่เข้ามาเข้าใจคุณค่าของแบรนด์ อ่านฟอนต์ได้ชัด และใช้เว็บได้ง่ายไม่สะดุด
ถามตัวเองว่าจัดหมวดหมู่สินค้าเป็นระเบียบพอไหม หรือกำลังใส่สินค้าลงในหน้าเดียวมากเกินไป?
โทนระหว่างข้อความกับภาพบาลานซ์ดีหรือยัง?
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา ถ้าหน้าเว็บคอนเวิร์ตไม่ดี ลองพิจารณาใช้ธีมคุณภาพสูงบน Shopify
ดูตัวอย่าง Outdoor Voices ที่ทำเว็บไซต์ได้สวย ใช้งานง่าย ลูกค้าค้นหาสินค้าได้ทั้งจากหมวดหมู่หรือค้นหาตรง ช่วยให้การช้อปเป็นเรื่องราบรื่นและไวกว่าเดิม

13. พูดคุยกับผู้เข้าชมผ่านไลฟ์แชต
ไลฟ์แชตเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยสื่อสารกับคนที่เข้ามาบนเว็บไซต์ได้โดยตรง
หลายเครื่องมือไลฟ์แชตตั้งค่าให้ทักผู้ใช้ตามพฤติกรรมได้ เช่น มาจากลิงก์จดหมายข่าว หรือใช้เวลาอยู่ในบางหน้านานเป็นพิเศษ ไลฟ์แชตทำให้ทีมตอบคำถามและแก้ข้อกังวลได้ทันทีในช่วงที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจซื้อ
14. คาดการณ์โอกาสการขายล่วงหน้า
ถ้ากำลังมองหาการขยายไลน์สินค้า ควรประเมินความต้องการของตลาดก่อนว่าเพิ่มสินค้าใหม่แล้วคุ้มไหม วิธีศึกษาตลาดทำได้หลายแบบ เช่น ดูคีย์เวิร์ดที่คนค้นหา การวิเคราะห์จากพื้นที่ หรือการตามดูเทรนด์บนโซเชียล
อีกวิธีที่สร้างสรรค์คือการพรีเซลเพื่อทดสอบความสนใจของลูกค้า สมมติว่ามีตัวเลือกสินค้าใหม่ 3 แบบ ให้สร้างหน้าสินค้าคุณภาพดีครบทุกหน้า แต่ตั้งสถานะว่า “หมดสต็อก” ไว้ก่อน แล้วดูว่าหน้าไหนได้รับการกดแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้ากลับเข้ามามากที่สุด จากนั้นเลือกผลิตสินค้านั้น
💡เคล็ดลับ: ใช้แอป Back in Stock บน Shopify เพื่อไม่ให้เสียยอดขายตอนสินค้าหมด
15. เริ่มทำคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้ง
การเขียนบล็อกอย่างสม่ำเสมอช่วยเชื่อมแบรนด์กับลูกค้าและช่วยอันดับบนหน้าผลการค้นหาให้ดีขึ้น ถ้าทำคอนเทนต์อยู่แล้ว ลองนำบล็อกมาแสดงบนเว็บไซต์ของร้านด้วย
แทคติกคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มการเข้าถึงและเอ็นเกจ ได้แก่
- ทำพอดแคสต์เพื่อแชร์ความเชี่ยวชาญและสร้างคอมมูนิตี้
- เขียนบทความลงเว็บไซต์หรือบล็อกอื่น เพื่อเพิ่มการรับรู้และสร้างแบ็กลิงก์ (ซึ่งดีต่อ SEO)
- ทำคู่มือหรือคอนเทนต์แบบ long-form เพื่อช่วยให้ลูกค้าใช้สินค้าได้เต็มประสิทธิภาพ
16. ใช้การปรับแต่งแบบเฉพาะตัว
การใช้ข้อมูลพฤติกรรมจะช่วยให้แบรนด์สร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงให้แต่ละคนได้ ตรงกับสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ตามพฤติกรรมการใช้งานเว็บ
ทำ Personalization จากพิกัดก็ได้ เช่น ลูกค้าในแคลิฟอร์เนียตอนเดือนตุลาคมอาจมองหาชุดว่ายน้ำ แต่ลูกค้าใน Maine อาจกำลังต้องการเสื้อโค้ทอยู่
💡เคล็ดลับ: Shopify จะสร้างโปรไฟล์ลูกค้าให้อัตโนมัติเมื่อมีคนกรอกอีเมลหรือเบอร์โทร ใช้ข้อมูลนี้แบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อทำ Personalization เพิ่มเติม เช่น ให้รางวัลลูกค้าหลังการซื้อครั้งที่ห้า หรือส่งข้อเสนอพิเศษให้คนที่ไม่ได้ช้อปมานานกว่า 60 วัน
17. ใช้คอนเทนต์จากลูกค้า (UGC)
คอนเทนต์ที่มาจากลูกค้า (UGC) เป็นวิธีสร้าง Social Proof ที่ได้ผลมาก เมื่อคนที่กำลังสนใจเห็นว่ามีลูกค้าจริงที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันซื้อและใช้สินค้าอยู่แล้ว ความมั่นใจในการตัดสินใจก็จะเพิ่มขึ้นทันที
รีวิวสินค้าก็นับเป็น UGC เช่นกัน อีกวิธีที่ได้ผลคือการโชว์ภาพหรือวิดีโอของลูกค้าที่ใช้งานสินค้าจริง ตัวอย่างเช่น Colourpop Cosmetics ที่นำคลิปสอนแต่งหน้าจากลูกค้าบน TikTok มาแสดงบนช่องทางของแบรนด์ เพื่อให้คนเห็นว่าผลิตภัณฑ์ใช้ได้จริงและถูกใจผู้ใช้จริง
18. โฟกัสตลาดท้องถิ่น
ธุรกิจออนไลน์ก็ทำการตลาดเชิงพื้นที่เหมือนร้านหน้าบ้านได้ การมองตลาดแบบ Regional ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากทีเดียว
เริ่มจากหาพื้นที่ที่มีลูกค้ากระจุกตัวจำนวนมาก แล้วทำโปรโมชันเฉพาะพื้นที่นั้น วิเคราะห์ด้วยว่าลูกค้าในโซนนี้นิยมซื้อสินค้าแบบไหน แล้วดูฤดูกาลหรือเหตุการณ์สำคัญในพื้นที่ เพื่อเลือกช่วงโปรโมตให้เหมาะสม
ถ้ามีคลังสินค้าอยู่หลายแห่ง ลองทำโปรโมชันส่งฟรี ส่งลดราคา หรือส่งด่วนพิเศษให้ลูกค้าที่อยู่ใกล้คลัง เพื่อเร่งการปิดการขายและลดต้นทุนการจัดส่ง
19. ปรับแต่งเว็บหน้าสินค้าให้ดีขึ้น
Conversion Rate Optimization (CRO) คือการปรับเว็บไซต์ให้เพิ่มโอกาสปิดการขาย ช่วยให้มองเห็นปัญหาที่ทำให้เสียยอดขาย
คำถามสำคัญคือ: ยอดขายหายไปตรงไหน? กลุ่มใดออกจากหน้าเว็บและทำไม? และจะทำอย่างไรเพื่อแก้โอกาสที่เสียไป?
การวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่บาลานซ์และไม่เอนเอียงว่าเว็บไซต์ดึงให้คนซื้อได้มากแค่ไหน เมื่อรู้ปัญหาและโอกาสแล้วจึงเริ่มตั้งสมมติฐานและทดลองวิธีต่าง ๆ เพื่อดูว่าแนวทางไหนช่วยเพิ่มยอดขายได้ดีที่สุด
20. ให้ของขวัญกับลูกค้าประจำ
โปรแกรมสะสมแต้มช่วยสร้างประโยชน์หลายอย่าง ทั้งกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อซ้ำ ชวนเพื่อนมาซื้อ และทำให้แบรนด์อยู่ในใจผู้บริโภคผ่านการแจ้งเตือนอัตโนมัติ
ร้านสามารถเลือกได้ว่าจะให้รางวัลลูกค้าแบบไหน ให้บ่อยแค่ไหน และให้จากพฤติกรรมอะไร เช่น ระบบสะสมแต้มที่ลูกค้านำแต้มไปแลกส่วนลด ส่งฟรี หรือของขวัญก็ได้
ตัวอย่างเช่นแบรนด์เครื่องสำอาง Mirenesse ที่มีโปรแกรมสมาชิกที่แข็งแรงมาก สมาชิกได้สิทธิ์เข้าถึงเซลลับ ส่งฟรี และโซน “Love Rewards” รวมถึงสะสมแต้มจากการซื้อเพื่อนำไปแลกเป็นเครดิตใช้กับออเดอร์ในอนาคต

คุณสามารถใช้แอป Smile บน Shopify เพื่อทำโปรแกรมสะสมแต้มได้ง่ายและรวดเร็ว
21. ปรับให้เว็บร้านเหมาะกับมือถือ
การปรับร้านสำหรับมือถือไม่ใช่แค่ทำเว็บให้ Responsive แต่ต้องออกแบบโดยคิดถึงผู้ใช้มือถือเป็นหลักตั้งแต่ต้นจนจบ
บางครั้งอาจต้องทำปุ่ม “หยิบใส่ตะกร้า” ให้ใหญ่ขึ้นในหน้าสินค้าบนมือถือ เพื่อให้กดได้ง่ายโดยไม่ต้องซูม หรือเลือกใช้รูปภาพที่โหลดไวและขยายดูรายละเอียดได้สะดวก เพื่อให้ประสบการณ์การช้อปบนมือถือไหลลื่นที่สุด
22. จัดสินค้าขายเป็นเซ็ท
จัดชุดสินค้าที่จับคู่กันตั้งแต่สองชิ้นขึ้นไป และขายในราคาพิเศษ การทำบันเดิลบนร้านหรือผ่าน Shop Channel ช่วยเพิ่มมูลค่าออเดอร์เฉลี่ย เคลียร์สต็อกเก่า และทำให้สินค้ามองเห็นมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น Wild One ที่ขายชุด Harness Walk Kit ในราคาลดพิเศษ ลูกค้าจะได้สายจูง ฮาร์เนส และถุงเก็บมูล ที่เลือกสีและไซซ์ได้ตามต้องการ

💡เคล็ดลับ: ดาวน์โหลดแอป Bundler ได้บน Shopify App Store
23. สร้างภาพสินค้าแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ
ประสบการณ์แบบอินเทอร์แอกทีฟ เช่น มุมมองสินค้า 360 องศา หรือฟีเจอร์ซูมละเอียด ช่วยให้ลูกค้าเห็นสินค้าชัดเหมือนได้จับจริง
ถ้าต้องการไปไกลกว่านั้น ลองใช้ 3D เหมือนที่แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์อย่าง Rebecca Minkoff ทำ หลังจากเพิ่มโมเดล 3D และ Augmented Reality ลงในหน้าสินค้า บริษัทพบว่าลูกค้ามีโอกาสซื้อเพิ่มขึ้นถึง 65% เมื่อได้ดูสินค้าผ่านประสบการณ์แบบอินเทอร์แอกทีฟ
“ทุกวันนี้นักช้อปแฟชั่นอยากรู้จักตัวตนของแบรนด์ เห็นเนื้อผ้า โครงสร้างของกระเป๋าแต่ละใบ และนึกภาพออกว่ารู้สึกยังไงเวลาใช้งาน เราจึงดีใจที่ได้โชว์วิดีโอและ 3D บนเว็บไซต์ Shopify ของเรา เพื่อทำให้ลูกค้าใกล้ชิดกับดีไซน์ของ Rebecca Minkoff มากขึ้น” Uri Minkoff ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอกล่าว
24. เริ่มทำวิดีโอมาร์เก็ตติ้ง
ผลสำรวจปี 2025 โดย Wyzowl ระบุว่า 89% ของธุรกิจใช้วิดีโอมาร์เก็ตติ้ง และ 93% บอกว่าวิธีนี้ให้ ROI เชิงบวกอย่างชัดเจน
แบรนด์อีคอมเมิร์ซสามารถทำวิดีโอได้หลายแบบ เช่น
- วิดีโอแสดงสินค้าเพื่อโชว์ดีไซน์
- วิดีโอไลฟ์เพื่อเอ็นเกจกับลูกค้า
- วิดีโอรีวิวจากลูกค้าที่ใช้จริง
- วิดีโอเชิงสอนที่ให้ความรู้
ตัวอย่างเช่น Friday Pattern Company ทำวิดีโอสอนเย็บผ้ายอดนิยมบน YouTube พวกเขามีทั้งวิดีโอ “sew along” สอนเย็บตามขั้นตอน เทคนิคเย็บผ้าแบบต่าง ๆ และคอนเทนต์สไตล์วล็อก วิดีโอเหล่านี้ดึงทราฟฟิกออร์แกนิกเข้าร้านอีคอมเมิร์ซของแบรนด์ และทำให้แบรนด์อยู่ในใจคนดูเวลาต้องการแพทเทิร์นเย็บผ้า

25. จัดสัมมนาหรือเวิร์กช็อป
เว็บบินาร์และเวิร์กช็อปเป็นวิธีที่ดีมากในการเอ็นเกจกับลูกค้าและช่วยให้พวกเขาเข้าใจสินค้าได้ลึกขึ้น อาจจัดเดโมสาธิตสินค้าแบบเจอตัวเพื่อให้เห็นวิธีใช้งานจริง หรือจัดเว็บบินาร์ออนไลน์เชิญผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาแชร์หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์
26. เริ่มโปรแกรมแอฟฟิลิเอต
โปรแกรมแอฟฟิลิเอตคือระบบให้รางวัลที่พาร์ตเนอร์ช่วยโปรโมตสินค้า แลกกับค่าคอมมิชชัน ลูกค้าหรือครีเอเตอร์สามารถโปรโมตสินค้าผ่านโปรไฟล์ของตัวเองและแนะนำผู้ติดตามมายังร้านของแบรนด์ จากนั้นจะได้ค่าคอมมิชชันจากยอดขายที่เกิดขึ้นผ่านลิงก์เฉพาะของแต่ละคน
แอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้งช่วยแบรนด์อย่าง immi (ราเมนแพลนต์เบส) เปิดตัวสินค้า สร้างการรับรู้ และเพิ่มยอดขาย ตัวอย่างเช่น immi ใช้ Shopify Collabs ในการหาดีลกับแอมบาสซาดอร์กว่า 400 คนภายในโปรแกรม และสร้างยอดขายมากกว่า 7,000,000 บาท

เริ่มทำการตลาดร้านอีคอมเมิร์ซเลยวันนี้
กลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมช่วยให้ร้านเจอลูกค้าใหม่ เพิ่มมูลค่าออเดอร์เฉลี่ย และดันยอดขายให้ดีขึ้นทั้งหมด หากทำตามเทคนิคการตลาดอีคอมเมิร์ซด้านบนอย่างเป็นขั้นตอน จะช่วยให้สร้างร้านที่แข็งแรงและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ช้อปได้อย่างต่อเนื่อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการตลาดอีคอมเมิร์ซ
ความต่างระหว่างอีคอมเมิร์ซกับดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งคืออะไร?
อีคอมเมิร์ซคือกระบวนการขายและส่งมอบสินค้าหรือบริการ ส่วนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งคือวิธีเข้าถึงผู้ที่อาจเป็นลูกค้าและลูกค้าปัจจุบันเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เช่น ถ้ามีคนเข้าเว็บเพื่อซื้อรองเท้าใหม่ การซื้อและรับรองเท้าถือเป็นอีคอมเมิร์ซ ส่วนการทำให้เขามาเห็นร้านคือดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
จะทำการตลาดให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้ยังไง?
กลยุทธ์ที่ใช้กันบ่อย ได้แก่
- โซเชียลมีเดียมาร์เก็ตติ้ง
- การทำ SEO
- แอฟฟิลิเอตมาร์เก็ตติ้ง
- อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง
- อีเมลมาร์เก็ตติ้ง
- การตลาดแบบโลคอล
- โปรแกรมสมาชิก/สะสมแต้ม
- การทำ CRO เพื่อเพิ่มคอนเวอร์ชัน
- โฆษณาแบบเสียเงิน
- อีเมลกู้ตะกร้าที่ถูกทิ้ง
จะใช้โซเชียลมีเดียในการทำการตลาดอีคอมเมิร์ซยังไง?
สามารถใช้ได้หลายแบบ เช่น
- โชว์สินค้าในคอนเทนต์
- ยิงแอดแบบเจาะกลุ่ม
- คุยกับลูกค้าผ่าน DM หรือคอมเมนต์
- ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์
- ไลฟ์เดโมสินค้า
- ทำ Reels หรือวิดีโอสั้นที่เน้นจุดเด่นของสินค้า
จะวัดผลความสำเร็จของการตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างไร?
เครื่องมือวัดขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ที่ใช้ แต่ตัวชี้วัดหลักได้แก่ อัตราคอนเวอร์ชัน ทราฟฟิกจากแต่ละช่องทาง และยอดขาย รวมถึงใช้ Shopify Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้ใช้และยอดขาย ทำให้เห็นชัดว่ากลยุทธ์ไหนได้ผลดีที่สุด
5 Cs ของการตลาดอีคอมเมิร์ซคืออะไร?
5 Cs ของการตลาดอีคอมเมิร์ซ ได้แก่ Company (บริษัท), Collaborators (ความร่วมมือ), Customers (ลูกค้า), Context (บริบท) และ Competition (คู่แข่ง) ซึ่งควรอยู่ครบในแผนการตลาด
แพลตฟอร์มไหนเหมาะที่สุดสำหรับเริ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ?
Shopify คือแพลตฟอร์มที่เหมาะที่สุดสำหรับเริ่มทำอีคอมเมิร์ซ ใช้งานง่ายมากและมีฟีเจอร์พร้อมใช้ เช่น ธีมสำเร็จรูป เช็กเอาต์ การเชื่อมกับโซเชียล และช่องทางขายเสริมต่าง ๆ ช่วยให้เริ่มขายได้รวดเร็ว


